ก่อนซื้อหุ้นกลุ่มโรงแรม ดูอะไรกันบ้าง

โดย พิสุทธิ์ งามวิจิตรวงศ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย
3 Min Read
21 เมษายน 2564
5.972k views
ก่อนซื้อหุ้นกลุ่มโรงแรม ดูอะไรกันบ้าง
Highlights
  • หุ้นกลุ่มโรงแรมมีหลากหลายประเภท ซึ่งก็มีโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องวิเคราะห์เหมือน ๆ กัน ก็คือ ปัจจัยที่ธุรกิจโรงแรมใช้ในการวัดผลการดำเนินงาน

  • นักลงทุนต้องดูปัจจัยเชิงคุณภาพประกอบการวิเคราะห์ด้วย เพื่อช่วยเลือกหุ้นกลุ่มโรงแรมที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าประทับใจ

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมสูญเสียรายได้ไปอย่างมาก และหุ้นกลุ่มโรงแรมก็ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะผลการดำเนินงานที่ปรับลดลง แต่ด้วยมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกันที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวภายในประเทศ บวกกับการที่วัคซีนกำลังทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะเห็นหุ้นกลุ่มนี้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนเมื่อประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว

สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมามองหุ้นกลุ่มโรงแรมอีกครั้ง แต่ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นสักตัวเข้ามาเก็บไว้ในพอร์ต นักลงทุนต้องตรวจสอบข้อมูล ทำการวิเคราะห์ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ การสร้างรายได้ หรือความอยู่รอดในอนาคต 

การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงแรมมี 5 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้

1. อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate)
เป็นอัตราส่วนที่บ่งบอกว่าห้องที่โรงแรมมีอยู่ มีคนเข้าพักมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน เช่น ถ้ามีห้องพักทั้งหมด 100 ห้อง มีคนเข้าพัก 70 ห้อง ถือว่าโรงแรมมีอัตราการเข้าพักที่ 70% โดยยิ่งมีอัตราการเข้าพักมากเท่าไหร่ยิ่งดี นั่นแปลว่า ห้องแต่ละห้องที่สร้างขึ้นมานั้นมีการใช้งานและกำลังทำเงินให้บริษัทอยู่ แต่ถ้ามีอัตราการเข้าพักน้อย แปลว่า อาจจะมีการบริหารจัดการไม่ดีหรืออยู่ในทำเลที่ไม่ดี ทำให้ไม่มีคนเข้าพัก 

ดังนั้น อัตราการเข้าพักถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้วัดธุรกิจโรงแรม แต่คำถามคือ ถ้าโรงแรมลดราคาเยอะ ๆ ก็จะทำให้อัตราการเข้าพักเต็มได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงโรงแรมอาจจะขาดทุนก็ได้ เพราะคิดราคาห้องที่ถูกเกินไปและไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายและเงินที่ลงทุนไป ดังนั้น จะดูอัตราการเข้าพักเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย

2. ราคาขายเฉลี่ยต่อห้องพัก (Average Daily Rate : ADR)
เป็นอัตราส่วนที่นำราคาขายเฉลี่ยของห้องพักแต่ละห้องมาเฉลี่ยกัน เพื่อที่จะรู้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วห้องที่ขายไปนั้น ได้เงินต่อคืนอยู่ที่เท่าใด โดยราคาขายเฉลี่ยต่อห้องพักจะเป็นปัจจัยที่ใช้ดูควบคู่ไปกับอัตราการเข้าพัก เพื่อดูว่าโรงแรมไม่ได้ลดราคามากเกินไปจนทำให้กำไรลดลง หรือลดราคาเพื่อต้องการเพิ่มอัตราการเข้าพัก เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าห้องพักจะเต็มมากเพียงใด แต่ถ้ากำไรน้อยหรือขาดทุนก็คงไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจ

3. รายได้ต่อห้องที่ให้บริการ (Revenue Per Available Room)
เป็นการนำราคาขายเฉลี่ยต่อห้องพักมาคูณกับอัตราการเข้าพัก จะได้รายได้ที่ทำได้ต่อจำนวนห้องที่ให้บริการ ซึ่งเป็นตัวบอกภาพรวมของทั้งอัตราการเข้าพักและราคาขายเฉลี่ย โดยรายได้ต่อห้องที่ให้บริการจะพอบอกได้แล้วว่าโรงแรมนั้น ดำเนินงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน

4. อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (Selling, General and Administrative Expense)
ช่วงที่เกิดวิกฤติ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรมต้องดูแลค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน ประหยัดงบประมาณ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงแรมว่ามีวิธีการบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไร เช่น ลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ไม่จำเป็น ลดค่าใช้จ่ายคงที่ เป็นต้น เมื่อค่าใช้จ่ายลดลงจะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวหรือถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น ทำให้กำไรกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง 

5. กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย, ดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Earning Before Interest and Tax, Depreciation and Amortization : EBITDA)
หุ้นกลุ่มโรงแรมเป็นหุ้นที่ไม่สามารถดูกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียวได้ เพราะอาจจะเข้าใจผิด เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูง ดังนั้น จะมีค่าเสื่อมราคาที่สูงมาก ซึ่งค่าเสื่อมราคาที่สูงนี้จะทำให้กำไรดูต่ำลง 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงค่าเสื่อมราคาเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่กระทบกับกระแสเงินสด ค่าเสื่อมราคาเกิดจากการลงทุนสร้างโรงแรมใหม่เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโต ดังนั้น ถ้าโรงแรมมีค่าเสื่อมราคาไม่เพิ่มขึ้น อาจหมายถึงธุรกิจไม่เติบโต ดังนั้น การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงแรมจึงใช้ EBITDA จะเหมาะกว่าการดูกำไรสุทธิ

นอกจาก 5 ปัจจัยดังกล่าวที่ต้องดูแล้ว นักลงทุนต้องวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพอีกด้วย

1. โมเดลธุรกิจเป็นแบบใด และมีอัตรากำไรเป็นอย่างไร
โรงแรมบางแห่งจะมีโมเดลธุรกิจสร้างโรงแรมเอง บริหารจัดการเอง หรือบางแห่งอาจจ้างคนอื่นมาบริหารจัดการ หรืออาจมีธุรกิจที่เข้าไปบริหารให้โรงแรมอื่น 

แน่นอนว่าการสร้างโรงแรมเอง บริหารจัดการเอง ย่อมให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็ใช้เงินลงทุนสูงตามไปด้วย ในขณะที่การเข้าไปรับบริหารโรงแรมให้คนอื่นจะมีกำไรน้อยกว่า แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ใช้เงินลงทุนไม่มาก อีกทั้งสามารถขยายธุรกิจได้เร็วกว่า

2. แผนการขยายกิจการ
ถึงแม้ว่าวิกฤติ COVID-19 จะยังอยู่ แต่แผนการขยายธุรกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการเติบโตในอนาคต ดังนั้น จึงต้องดูว่าโรงแรมแต่ละแห่งมีแผนการขยายกิจการอย่างไร มีการปรับแผนใหม่หรือไม่ หรือมีการชะลอการลงทุนอย่างไรบ้าง ซึ่งการชะลอการลงทุนอาจทำให้มีกระแสเงินสดมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเติบโตที่ช้าลง ดังนั้น นักลงทุนต้องชั่งน้ำหนักว่า เมื่อแต่ละโรงแรมมีแผนการขยายกิจการแตกต่างกัน จึงต้องเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถยอมรับได้

3. กลยุทธ์ยุค New Normal
วิกฤติ COVID-19 อาจเป็นโอกาสของธุรกิจโรงแรม เช่น การเข้ามาสนับสนุนและช่วยเหลือของภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการท่องเที่ยวของผู้บริโภคที่หันมานิยมโรงแรมระดับบนมากขึ้น ดังนั้น ต้องดูว่าโรงแรมแต่ละแห่งได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในยุค New Normal อย่างไรบ้าง

สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการคัดเลือกหุ้นดีในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและแตกต่างกัน ตลอดจนลักษณะของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนั้น เพื่อให้สามารถวิเคราะห์หุ้นรายตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมและตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Advanced Sector Analysis เจาะลึกหุ้นดีในกลุ่มอุตสาหกรรม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
แท็กที่เกี่ยวข้อง: