เชื่อว่านักลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก่าคงเคยได้ยินนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนพูดถึงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญสำหรับการลงทุนในหุ้นกันอยู่บ่อยๆ แต่เชื่อหรือไม่... ว่ายังมีนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าอัตราส่วนทางการเงินเหล่านั้นหมายถึงอะไร และต้องดูอย่างไรจึงจะสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นดี น่าลงทุนได้ วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับ 7 อัตราส่วนทางการเงินยอดฮิตที่มักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนกันเถอะ
7 อัตราส่วนทางการเงินยอดฮิต นักลงทุนใช้เป็นประจำ
Price to Earning : P/E
เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ที่บริษัททำได้ในรอบปีล่าสุด เป็นค่าที่จะได้ยินบ่อยที่สุด เนื่องจากสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ทั้งหุ้นรายตัว และสภาพตลาดโดยรวม
อธิบายง่ายๆ คือ ค่า P/E สามารถประมาณการจุดคุ้มทุนให้กับนักลงทุนได้ เช่น หุ้น A ราคา 10 บาท มีกำไรต่อหุ้น 1 บาท ดังนั้น ค่า P/E จะเท่ากับ 10 เท่า หรือเราจะได้ทุน 10 บาทคืนเมื่อถือหุ้น A ครบ 10 ปี หากกิจการมีกำไรต่อหุ้นคงที่ และจ่ายเป็นปันผลทั้งหมด ยิ่งค่า P/E ต่ำ ก็หมายถึงว่า... นักลงทุนจะได้เงินลงทุนคืนเร็วนั่นเอง นักลงทุนบางคนจึงมักจะลงทุนในหุ้นที่มีอัตราส่วนนี้ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่สำหรับบางกรณี หุ้นที่ P/E สูงๆ ก็ยังน่าลงทุน เช่น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่สามารถดูเพียงค่า P/E หรือ PEG เพียงตัวเดียวเท่านั้น ต้องพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินและปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ เช่น การวิเคราะห์ธุรกิจว่าอยู่ในช่วงอิ่มตัวหรือประสบปัญหาหรือไม่ ซึ่งนักลงทุนต้องเข้าใจถึง "ธรรมชาติ" ของธุรกิจนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร รวมถึงมีการวิเคราะห์การเติบโตของกำไรของกิจการว่ามากน้อยแค่ไหนประกอบด้วย
Price to Book Value : P/BV
เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นของกิจการ หากค่า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า หมายความว่านักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท ดังนั้น หากจะเลือกลงทุนหุ้น ควรเลือกหุ้นที่มีค่า P/BV ต่ำกว่า ค่า P/BV เฉลี่ยของอุตสาหกรรม เพื่อให้ได้หุ้นที่มีราคาตลาดไม่สูงเกินมูลค่าทางบัญชีมากเกินไป
P/BV เป็นอีกหนึ่งอัตราส่วนที่นักลงทุนนิยมใช้กัน เนื่องจากหาได้ง่ายจากงบการเงิน แต่อาจผิดเพี้ยนไป หากใช้กฎเกณฑ์หรือมาตรฐานทางบัญชีที่แตกต่างกัน หรือกิจการมีขนาดของสินทรัพย์ที่แตกต่างกันมาก จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับธุรกิจบริการที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรน้อย
Dividend Yield
เป็นการวัดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับราคาหุ้น หากหุ้นตัวใดมีค่านี้สูง แสดงว่ามีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนพอสมควร แต่ถ้าหุ้นใดมีค่านี้ต่ำ ก็ต้องหาข้อมูลต่อไปว่าเกิดจากการทำกำไรได้น้อยหรือเกิดจากนโยบายของบริษัทที่จะนำเงินไปลงทุนมากกว่าจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งถ้าเป็นประการหลัง และเป็นโครงการลงทุนที่ดี วิเคราะห์แล้วน่าจะมีผลตอบแทนที่สูง ก็ไม่ได้แสดงว่าหุ้นตัวนั้นไม่ดีแต่อย่างใด
Turnover Ratio
อัตราการหมุนเวียนการซื้อขาย ใช้วัดปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ว่ามีมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับปริมาณหุ้นจดทะเบียน ถ้ามีค่ามาก แสดงว่ามีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง พูดง่ายๆ คือ สามารถเปลี่ยนหุ้นเป็นเงินสดได้ดี
Net Profit Margin
อัตราส่วนกำไรสุทธิ เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทหลังจากนำรายได้และค่าใช้จ่ายทุกประเภทมาพิจารณาแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดกำไรสุทธิ ดังนั้น ค่า Net Profit Margin ยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นผลดี
ROA หรือ Return on Asset
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่กิจการนั้นใช้ในการดำเนินงาน ยิ่งมีค่ามาก ยิ่งแสดงว่าบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างกำไรจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันได้สูง
ROE หรือ Return on Equity
อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรจากส่วนของเจ้าของ หาก ROE มีค่ามาก ก็แสดงว่าบริษัทนั้นสร้างกำไรสุทธิได้ดี ผู้ถือหุ้นก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในระดับที่สูงตามไปด้วย
Financial Ratio สูง-ต่ำ เท่าใดถึงจะดี
ในการหาตัวเลือกลงทุนที่ดีที่สุดจากตัวเลือกที่มีอยู่หลากหลายนั้น การพิจารณาเพียงอัตราส่วนทางการเงินของกิจการที่วิเคราะห์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นักลงทุนต้องทำการเปรียบเทียบบริษัทที่ทำการวิเคราะห์กับต้วเลือกการลงทุนอื่นๆ ที่มีอยู่ พูดง่ายๆ คือ…
ทั้ง 7 อัตราส่วนทางการเงินนี้เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและมักได้ยินบ่อยๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความหมายและสามารถติดตามข่าวสารต่างๆ ได้โดยมีความเข้าใจมากขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีก็ต้องมีการศึกษาหาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย อย่าลืมว่า... การลงทุนมีความเสี่ยง แต่สามารถบริหารความเสี่ยงให้น้อยลงได้ด้วยการศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอยากรู้และเข้าใจปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ตลอดจนสามารถนำแนวคิดและขั้นตอนในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมาใช้เพื่อคัดกรองหุ้นที่มีพื้นฐานดีเหมาะกับการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน
e-Learning หลักสูตร “ลงทุนหุ้นมั่นใจ ต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐาน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่