3 กองทุนรวม ที่ปีนี้ต้องมีติดพอร์ต

โดย ธนัฐ ศิริวรางกูร หมอนัท คลินิกกองทุน
5 Min Read
19 เมษายน 2564
21.209k views
3 กองทุนรวมที่ปีนี้ต้องมีติดพอร์ต
Highlights
  • 3 กองทุนรวมที่น่าสนใจ และควรมีติดพอร์ตในปีนี้ ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน, กองทุนรวม Healthcare และกองทุนรวมกลุ่ม ESG

  • นักลงทุนที่สามารถทนต่อความเสี่ยงหรือความผันผวนระหว่างทางได้ มั่นใจในธีมการลงทุน (Investment Theme) ที่ลงทุน และเข้าใจในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนอยู่ว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้

  • การลงทุนไม่ว่าจะในสินทรัพย์ใดหรือกองทุนใด ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง เพราะความเสี่ยงจากการลงทุนที่สูงที่สุดไม่ใช่ตัวสินทรัพย์ แต่คือความไม่รู้และไม่เข้าใจในกองทุนที่จะลงทุนนั่นเอง

หากพูดถึงการลงทุนแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ย่อมที่จะนึกถึงความเสี่ยงที่มาควบคู่กันเสมอ เสมือนเป็นของคู่กัน เช่น สีขาวกับสีดำ ท้องฟ้ากับทะเล และด้วยความเสี่ยงนี้เองที่จะเหมือนเป็นอุปสรรคทางจิตใจให้กับนักลงทุน เพราะว่าระหว่างเส้นทางการลงทุนนั้น หากสินทรัพย์ใดมีความผันผวนที่สูงมาก ในบางครั้งก็อาจทำให้นักลงทุนล้มเลิกไปก่อน ทั้ง ๆ ที่หากลงทุนระยะยาวกับสินทรัพย์ที่เราเลือกมาเป็นอย่างดีแล้วนั้น ก็อาจจะได้รับผลตอบแทนที่ดีก็เป็นไปได้

 

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นักลงทุนก็มักจะพยายามจำกัดหรือควบคุมความเสี่ยงไม่ให้สูงจนเกินไป และยังสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราลงทุนในสไตล์ไหน เช่น นักลงทุนสายเทคนิคก็จะทำ Money Management ส่วนนักลงทุนสายพื้นฐานก็จะทำการประเมินมูลค่าหุ้นที่เผื่อความเสี่ยงไว้ อย่างการทำ Margin of Safety แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ใช้กองทุนรวมเป็นเครื่องมือ ก็มักจะทำ Asset Allocation หรือ กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายนั่นเอง

 

แต่สำหรับนักลงทุนในกองทุนรวม ถ้าหากมองว่าการที่เราเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเราคาดหวังให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ดูแลและหาสินทรัพย์ที่ดีในการลงทุน รวมถึงจัดการความเสี่ยงใหักับเราแล้ว สำหรับการลงทุนระยะยาว การใส่เงินหรือทุ่มเงินลงทุนกับสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตได้ ก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้มากกว่าการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง

 

ตัวอย่าง : การลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการจัดพอร์ตการลงทุน

3 กองทุนรวมที่ปีนี้ต้องมีติดพอร์ต_01

ซี่งถ้าหากใครพร้อมที่จะเสี่ยงสูง ๆ และอยากลองลงทุนกับสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีหรือเป็นสินทรัพย์ที่พอจะฝากผีฝากไข้ลงทุนระยะยาวได้แล้วละก็…

 

มารู้จักกับ 3 กองทุนรวมที่น่าสนใจ และควรมีติดพอร์ตในปีนี้กัน!

 

  1. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (REITs and Infrastructure Fund)

ที่กองทุนรวมกลุ่มนี้มีความน่าสนใจมาก ๆ เลยก็คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีต่อเนื่อง ติดอันดับกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีติดต่อกันหลายปี รวมถึงสร้างผลตอบแทนได้สูงอีกด้วย

 

ที่มาของผลตอบแทนที่ดีนั้นก็คือ รายได้ของอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการเก็งกำไรเหมือนการลงทุนในหุ้นที่ต้องซื้อตอนราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงมามาก ๆ และต้องขายทำกำไรในเวลาที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และแม้ว่าหุ้นที่เราเลือกจะดีแล้ว แต่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นก็จะขึ้นกับความคาดหวังของนักลงทุน การคาดการณ์กำไรของบริษัทในอนาคต ซึ่งคาดการณ์ได้ยากพอสมควร อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัวของแต่ละอุตสาหกรรม หรือของแต่ละกิจการอีกด้วย

 

แต่สำหรับผลตอบแทนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนั้นเกิดขึ้นจากค่าเช่าและค่าใช้บริการในโครงสร้างพื้นฐานนั้น ๆ นั่นเท่ากับว่า เรากำลังได้ค่าเช่าจริง ได้รายได้จริง เรียกได้ว่า ตราบใดที่มีผู้เช่า หรือมีผู้ใช้บริการ ตราบนั้นยังมีรายได้ มีเงินปันผลเข้ามาให้กับเรานั่นเอง ดังนั้น ก็ไม่แปลกที่ระยะยาวแล้วจะสร้างผลตอบแทนได้ดีและสม่ำเสมอ

 

ทั้งนี้การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เองก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน อย่างในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา ก็ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมนั้นมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก แต่ทั้งนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีในการลงทุน เพราะว่ามีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลสูงมากขึ้นตามไปด้วย

 

ดังนั้นใครที่คิดว่าอยากได้เงินปันผลที่ดีในระยะยาวแล้วละก็ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปีนี้ก็น่าจะไม่ผิดหวัง

  1. กองทุนรวม Healthcare 

 

การลงทุนระยะยาวที่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ มักจะนึกถึงกองทุนรวมประเภทหนึ่งเสมอ นั่นก็คือ กองทุนรวมกลุ่ม Healthcare 

 

เพราะว่าหุ้นในกลุ่มการดูแลสุขภาพนั้นเป็นเทรนด์ และเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่ใกล้เข้ามาแล้วนั่นเอง เพราะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แนวโน้มของประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2050 จำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน ⅕ ของโลก หรือ พูดง่าย ๆ ว่าจะแก่กันทั้งโลก!!

 

ทำให้กลุ่มบริษัทที่ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีอยู่ทั่วโลก หรือที่เราเรียกว่า Global Healthcare” นั้น ได้แก่ บริษัทยาชั้นนำของโลก บริษัทที่ผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ (Biotechnology) รวมถึงกลุ่มของโรงพยาบาลและอุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ เติบโตไปด้วย แถมยังมี COVID-19 มาเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะการใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วย (Health Tech) ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมนี้อีกแรง

 

จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเราจึงควรที่จะลงทุนในกองทุนรวม Global Healthcare หรือ จะเป็นกลุ่ม Health Tech ก็น่าสนใจ และถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังยาว ๆ กองทุนรวมกลุ่มสุขภาพเหล่านี้ก็สร้างผลตอบแทนได้ดีเสมอมา แถมเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขึ้นลง หรือหวือหวามากนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนได้อย่างสบายใจ เพราะว่าถ้าขึ้นแบบรวดเร็วมาก ๆ ก็มีโอกาสที่จะผันผวนได้มากเช่นกัน

 

ตัวอย่าง : การทำ DCA ในกองทุนรวม Healthcare 10 ปี ซึ่งได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 12.47% ต่อปี

3 กองทุนรวมที่ปีนี้ต้องมีติดพอร์ต_02

จะเห็นได้ว่า กองทุนรวม Global Healthcare นั้นน่าสนใจและน่าลงทุน แต่การลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้จะต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะว่ากว่าจะเกิดสังคมผู้สูงอายุแบบเต็มขั้นก็ต้องใช้เวลาเป็น 10-20 ปีข้างหน้า เรียกได้ว่ากว่าจะเห็นผลตอบแทนที่ดีก็ต้องใช้เวลา และต้องทนความผันผวนระหว่างทางให้ได้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านหุ้น ก็ยังมีความผันผวนมากอยู่ดี โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาทีไร ก็มักจะตามมาด้วยความผันผวนของหุ้นในกลุ่มนี้ แต่ก็ไม่ต้องตกใจมาก เพราะว่าในระยะยาวหากกำไรของบริษัทเหล่านี้ยังเติบโตตามสังคมผู้สูงอายุ ผลตอบแทนก็น่าจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุน

 

  1. กองทุนรวมกลุ่ม ESG

 

อีกธีมการลงทุน (Investment Theme) ในปีนี้ หรือ จะลงทุนระยะยาวก็น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ การลงทุนแบบ Sustainable Development Goals หรือ SDGs ทั้งนี้ก็เพราะว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก็เริ่มที่จะพัฒนาประเทศไปในรูปแบบที่มีความยั่งยืนกันเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากหลังจากที่คุณโจ ไบเดน ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีก็ได้ประกาศนโยบายการพัฒนาแบบยั่งยืนด้วย

 

แต่ที่คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงก็คือ พวกกลุ่ม Green Energy และเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ เพราะว่านโยบายของรัฐบาลทั่วโลก กำลังดำเนินการเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังเลยทีเดียว แต่ SDGs นั้นไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ประกอบด้วยหลายส่วนมากมาย เช่น เรื่องการขจัดความยากจน การศึกษาที่เท่าเทียมกัน ความเท่าเทียมกันทางเพศ สุขาภิบาล และเรื่องอื่น ๆ อีก ถึง 17 เรื่องเลยทีเดียว

 

พูดง่าย ๆ ก็คือ อะไรที่จะทำให้โลกนี้ หรือประเทศต่าง ๆ พัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน ก็ต้องปฏิบัติตามเรื่องเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งในส่วนของแง่มุมในการลงทุนหากพูดให้เข้าถึง เข้าใจง่ายก็คือ การหาบริษัทที่มี ESG หรือมองหาบริษัทที่มีการจัดการที่ดีใน 3 เรื่องดังนี้ เพื่อเข้าลงทุน

 

  1. มี Environmental ที่ดี

เป็นบริษัทที่มีการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี เช่น เป็นบริษัทที่สามารถลดมลพิษในการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้ รวมถึงใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า เป็นต้น

  1. มี Social ที่ดี

ไม่ได้หมายถึง การทำความดีเฉพาะกับพนักงานของบริษัทเอง หรือการทำ CSR เพียงอย่างเดียว แต่เป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมภายในและสังคมภายนอกร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น เป็นบริษัทที่มีการจ้างแรงงานทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และผู้สูงอายุ ตามสัดส่วน ไม่ได้กีดกันคนด้วยความอาวุโสหรือเพศสภาพ แต่ดูที่ความสามารถและให้พนักงานได้ช่วยเหลือสังคมเมื่อมีโอกาส มีการจูงใจให้พนักงานทำความดีต่อสังคม หรือให้คนในสังคมรอบ ๆ โรงงานต่าง ๆ มาช่วยงานในโรงงาน และทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้อยู่ร่วมกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคม และการทำงานของพนักงานดีขึ้น

  1. มี Governance ที่ดี

เป็นบริษัทที่มีการจัดการที่ดีและมีธรรมาภิบาล เช่น มีการจัดโครงสร้างของบริษัทที่ดีเพื่อลดการขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ของผู้บริหาร มีคนคอยตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารอย่างถูกต้อง มีกระบวนการตรวจขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ เพื่อลดการทุจริตคอรัปชั่นของบริษัท เป็นต้น

 

ซึ่งหากบริษัทใดเข้าเกณฑ์ใน 3 ข้อนี้แล้วละก็ บริษัทนั้นจะมีโอกาส มีความยั่งยืนในด้านธุรกิจ ด้านการเงิน และเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโต รวมไปถึงได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ธุรกิจนั้น ๆ มีความยั่งยืนนั่นเอง (Sustainability) 

 

ข้อดีคือ การลงทุนกับบริษัทที่มี ESG นั้น จะทำให้โอกาสที่บริษัทจะถูกฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายสูง ๆ ก็น้อยลงไป แน่นอนว่าความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ก็น้อยลงไปด้วย ทำให้ความเสี่ยงขาลง หรือ Downside Risk นั้นน้อยลง

 

ส่วนเรื่องของผลตอบแทนก็ไม่ได้แย่เลย หลาย ๆ สำนักก็ออกมาชี้แจงว่า การลงทุนผ่าน SDGs เหล่านี้ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เช่นกัน เช่น Morningstar เอง ก็ออกมาบอกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะทำให้กองทุนรวมนั้นมีโอกาสได้ Rating 5 ดาวจาก Morningstar เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ถือว่าเป็นอีกการลงทุนที่น่าสนใจมาก ๆ 

 

โดยสรุป การลงทุนในธีม หรือ กลุ่มอุตสาหกรรมนั้น มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี ได้สูง แต่ความเสี่ยงเองก็มีมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากหากนักลงทุนกลุ่มสถาบันต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนมุมมองการลงทุนในธีมหรือกลุ่มอุตสาหกรรมไป (Sector Rotation) ในบางครั้งก็อาจจะทำให้เรามีโอกาสขาดทุนได้มาก จากการที่นักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มลงทุนไปตามคำแนะนำต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

 

แต่ถ้าหากเราสามารถที่จะทนต่อความเสี่ยง หรือ ความผันผวนระหว่างทางได้ และมีความมั่นใจ ว่าธีมนั้นเป็นธีมที่ถูกต้อง และเข้าใจในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราลงทุนอยู่ด้วยว่าเป็นการลงทุนระยะยาวไม่ใช่การลงทุนระยะสั้นเพียงอย่างเดียว รวมถึงเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตได้จริง ก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้

 

แต่ถ้าหากไม่มั่นใจว่ากองทุนที่ตนเองเลือกมาจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเราได้หรือไม่ ก็อาจจะพิจารณาทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงดีกว่า เช่น การจัดสรรพอร์ตลงทุน หรือ การทำ Asset Allocation ที่จะช่วยกระจายความเสี่ยง และมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับเราได้ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สูงเท่ากับการเน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่มก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าสามารถพานักลงทุนไปถึงไปเป้าหมายได้เช่นกัน

 

โดยไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ใด กองทุนไหน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเองก็ต้องทำความเข้าใจกองทุนรวมที่ตนเองกำลังจะลงทุนให้ดีก่อนเข้าลงทุนทุกครั้ง เพราะว่าความเสี่ยงจากการลงทุนที่สูงที่สุดไม่ใช่ตัวสินทรัพย์ หรือกองทุนรวมที่เรากำลังจะเข้าไปลงทุน แต่คือความไม่รู้ และไม่เข้าใจในกองทุนที่จะลงทุนนั่นเอง

 

ตามที่กล่าวข้างต้น กองทุนรวมที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในกองทุนรวมที่ปีนี้ควรมีไว้ติดพอร์ต สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน ผลตอบแทน ความเสี่ยง นโยบายการลงทุนของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ตลอดจนวิธีการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจเลือกลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุน REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

และสำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการเลือกกองทุนรวม พร้อมสร้างและบริหารพอร์ตกองทุนรวมด้วยตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ห้องเรียนกองทุนรวม The Series” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

แท็กที่เกี่ยวข้อง: