ถ้าหากพูดถึงประเด็นสำคัญในโลกของการลงทุนแล้วละก็ มีเรื่องหนึ่งที่นักลงทุนมีการพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ และถือว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องมากที่สุดในโลกของการลงทุน เพราะเป็นส่วนที่ชักนำทุกคนมาลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินธรรมดานั่นก็คือ “เงินเฟ้อ”
เจ้าเงินเฟ้อนี่แหละที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินนั้นด้อยค่าลง ซึ่งหากเราปล่อยให้เงินที่หามาได้นั้นนอนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่ในขณะเดียวกันเงินเฟ้อนั้นปรับตัวสูงขึ้น นั่นหมายความว่า เงินในกระเป๋าของเราก็จะมีมูลค่าน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ซื้อของชิ้นเดิมไม่ได้ เพราะว่าราคาสินค้าได้ปรับตัวสูงขึ้นนั่นเอง!!
และในบางครั้งก็อาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนคลื่นลูกใหญ่จากทะเลที่จู่ ๆ ก็ก่อตัวสูงขึ้น และพร้อมที่จะถาโถมเข้าสู่ฝั่ง ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของเรา เพราะว่าเงินที่เรามีอยู่นั้นได้ถูกด้อยค่าลงอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว และในระยะยาวราคาสินค้าต่าง ๆ เมื่อปรับขึ้นไปแล้วก็ยากที่จะปรับลดลงมา
ตัวอย่างเช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์ COVID-19 เมื่อคลายล็อกดาวน์ผู้คนมีความต้องการบริโภคสินค้าและบริการมากขึ้น แต่สินค้าและบริการที่ผลิตมายังไม่เพียงพอ (จากการปิดเมืองไปก่อนหน้านี้) ก็ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ซ้ำรอยยังมีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานสูงขึ้น (ราคาพลังงานเป็นส่วนประกอบหลักของเงินเฟ้อ) ทำให้ต้นทุนทางการขนส่งสูงมากขึ้น ราคาสินค้าก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ด้วยเงินเฟ้อที่สูงขึ้นแบบนี้ ทำให้เริ่มเห็นแต่ละประเทศเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อหยุดยั้งเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น แต่บางประเทศก็ยังไม่สามารถทำได้เพราะว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี ซึ่งหากเร่งขึ้นดอกเบี้ยก็อาจทำให้เศรษฐกิจแย่ลงก็เป็นไปได้ (ในการที่จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลดลงได้นั้น มีหลายวิธีการ เช่น ควบคุมราคาสินค้า ออกพันธบัตรรัฐบาล ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงใช้นโยบายการเงินและการคลังอื่น ๆ )
จึงทำให้เราเริ่มเห็นการดำเนินนโยบายทางการเงินที่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำซึ่งสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง หรือในจีนที่ยังคงแก้ไขปัญหา COVID-19 ไม่ได้นั้นก็มีโอกาสที่จะเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเช่นกัน
ณ จุดนี้ทำให้ใครก็ตามที่ลงทุนอยู่ อาจต้องกุมขมับเลยก็ว่าได้ เพราะหากดูผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ก็เริ่มที่จะแย่ลงเพราะดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นบางคนที่ลงทุนในหุ้นก็เจอกับภาวะความผันผวนของตลาดโลกด้วย เนื่องจากกระแสเงิน (Fund Flow) มีการหมุนไปหมุนมา เพื่อแสวงหาที่ที่ได้ผลตอบแทนสูง ๆ
จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า “แล้วช่วงนี้ลงทุนอะไรดี ??” มีกองทุนรวมประเภทไหนที่พอจะลงทุนได้บ้าง ? แน่นอนว่าก็ควรที่จะต้องเป็นสินทรัพย์ที่สู้ หรือ ไม่ผันผวนไปตามเงินเฟ้อ หรือ ปรับตัวสูงขึ้นตามเงินเฟ้อไปได้ด้วย ดังนั้นเรามารู้จัก 3 กองทุนรวมที่น่าสนใจและสามารถพิชิตเงินเฟ้อในช่วงนี้กัน
โดยสรุป การลงทุนในช่วงที่เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นมาก ๆ นั้น นักลงทุนอาจจะต้องทำการบ้านหนักมากขึ้น ด้วยการคัดเลือก และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่มี “คุณภาพ” ที่สามารถเติบโตได้แม้ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงแบบนี้เข้ามาในพอร์ตลงทุน เพื่อให้พอร์ตลงทุนของเราสามารถผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้อย่างราบรื่น
แต่ถ้านักลงทุนบางท่าน ไม่มีเวลาในการคัดเลือกกองทุนเอง หรือไม่มีเวลาทำการบ้านเพื่อหากองทุนรวมที่เหมาะกับสถานการณ์แบบนี้มากนัก บางครั้งก็อาจจะใช้วิธีการไปลงทุนผ่านกองทุนผสม ที่ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกสินทรัพย์มาให้เรียบร้อยแล้วก็ได้เช่นกัน โดยหากเป็นกองทุนผสมที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เราได้กระแสเงินสดที่ดีในช่วงเงินเฟ้อสูง ซึ่งก็น่าจะสู้กับเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมหวังว่านักลงทุนจะสามารถปรับพอร์ตให้ผ่านพ้นช่วงคลื่นลมทะเลที่แปรปรวนไปให้ได้ และเมื่อพ้นช่วงสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ไม่เป็นใจเหล่านี้ไป ผมเชื่อว่าฟ้าหลังฝนก็ย่อมที่จะสดใสอย่างแน่นอนครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการเลือกกองทุนรวม พร้อมสร้างและบริหารพอร์ตกองทุนรวมด้วยตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ห้องเรียนกองทุนรวม The Series” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่