หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล อนาคตยังสดใส

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
16 เมษายน 2564
3.467k views
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล อนาคตยังสดใส
Highlights
  • การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรของโรงพยาบาลให้ลดลง 57% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 แต่คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2564 จะมีกำไรรวมเติบโต 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

  • เมื่อประเทศไทยเริ่มทยอยนำเข้าวัคซีนและมีความชัดเจนที่จะอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าวัคซีนได้ ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลก็มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวดีขึ้น หากประเทศไทยสามารถควบคุมเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ดังนั้น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจึงกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ปริมาณผู้ป่วยคนไทยในโรงพยาบาลในเดือนมกราคมที่ผ่านมาชะลอตัวลงเล็กน้อย ผลที่ตามมา คือ การดำเนินงานของโรงพยาบาลสะดุดลง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ และเมื่อมีการคลายล็อกดาวน์ ประเทศไทยได้รับวัคซีน รวมถึงการอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าวัคซีน ก็ทำให้การดำเนินงานของโรงพยาบาลมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวดีขึ้น

 

ระวีนุช ปิยะเกรียงไกร นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันเห็นแนวโน้มปริมาณผู้ป่วยที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเองปรับตัวเพิ่มขึ้น “บ่งชี้ว่าการดำเนินงานของโรงพยาบาลไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ปี 2563 และมีแนวโน้มฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 ระบาด โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากปริมาณผู้ป่วยคนไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น”

 

สอดคล้องกับยุวนีย์ พรหมาภรณ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เชื่อว่า “หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลของไทย “กำลังฟื้นตัว” จากการฟื้นตัวของจำนวนผู้ป่วยที่เริ่มกลับไปโรงพยาบาล เมื่อ COVID-19 เริ่มหยุดการระบาดในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ นอกจากนี้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติจะเริ่มกลับมาอีกครั้ง”

 

ปีแห่งสุขภาพดี

 

สิริการย์ กฤษฏิ์นิพัทธ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า การระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรของโรงพยาบาลให้ปรับลดลง 57% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 อย่างไรก็ตามกระแสข่าวของผลการทดลองวัคซีน COVID-19 ได้แก่ บริษัท Pfizer และ BioNTech, Moderna, Corovac, AstraZeneca และ Sputnik V ได้ สร้างความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวและปลดล็อคความต้องการบริการทางการแพทย์ของคนไทยที่ชะลอไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

 

“เชื่อว่าความต้องการบริการด้านสุขภาพในประเทศไทยถูกขับเคลื่อนโดยเมกะเทรนด์ ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ คนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น จำนวนผู้ป่วยในโรคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และสัดส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพต่อจีดีพี ยังมีโอกาสเติบโตจาก 3.8% สู่ระดับใกล้ค่าเฉลี่ยของโลกที่ 9.9%”

 

การมองในเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลดังกล่าวมาจากความชัดเจนในการจัดสรรวัคซีน COVID-19 ของรัฐบาล ทำให้เกิดความมั่นใจต่อการควบคุมการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้ติดเชื้อภายหลังที่มีการเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่การทยอยผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ และสามารถเปิดให้ลูกค้าต่างชาติเข้ามารักษาในประเทศไทยได้

 

อย่างไรก็ตาม มินทรา รัตยภาส นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โนมูระ มองว่า ในปีนี้ภาครัฐจะเป็นกลไกหลักในการจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายระยะแรก เพื่อให้ผลของวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัส COVID-19 และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีน ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนและบริษัทยาต่าง ๆ คาดว่าจะเริ่มทยอยนำเข้าวัคซีนได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นต้นไป

 

คาดการณ์ผลประกอบการ

 

“อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีในการสะสมหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเพื่อลุ้นรับประโยชน์หลังจากควบคุมเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564” ยุวนีย์ กล่าว เนื่องจากผลประกอบการกำลังฟื้นตัว จากจำนวนผู้ป่วยคนไทยและต่างชาติที่กำลังกลับมา

 

สอดคล้องกับระวีนุช ประเมินว่าปีนี้ “จะเป็นปีที่ดีสำหรับหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล” โดยกำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระดับเลขสองหลัก

 

และถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะถูกขัดจังหวะจากเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ก็เป็นเพียงในระยะสั้น ๆ แต่หากมองในระยะยาวแล้วหุ้นกลุ่มนี้ยังไว้ใจได้ โดยเฉพาะเป็นธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จึงสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้

 

“หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเป็นหุ้นที่เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว เพราะสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง” สิริการย์ กล่าว

 

ขณะที่ มินทรา คาดว่า ผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในครึ่งหลังของปี 2564 จะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี โดยคาดว่าผลการดำเนินงานปี 2564 จะมีกำไรรวมเติบโต 36% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่และขนาดกลางจะเติบโตค่อนข้างสูง

 

“ถ้าดูราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล คาดว่าปีนี้จะซื้อขายที่ระดับ P/E Ratio 21 เท่า ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบย้อนหลังไป 5 ปี” มินทรา กล่าวทิ้งท้าย

 

สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคและวิธีการคัดกรองหุ้นด้วยตนเองผ่านโปรแกรม SETSMART พร้อมเจาะลึกลักษณะของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการวิเคราะห์หุ้นในอุตสาหกรรมนั้นๆ เพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร Stock Screening & Sector Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

นอกจากนี้ สำหรับมือใหม่ที่สนใจหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในกลุ่มการแพทย์ และอยากเข้าใจวิธีการวิเคราะห์หุ้นตั้งแต่พื้นฐานของธุรกิจการแพทย์ ไปจนถึงเทคนิคการวิเคราะห์งบการเงินในเชิงลึก ด้วยคำอธิบายอย่างเป็นขั้นตอนและยกตัวอย่างประกอบข้อมูลที่เข้าใจยากให้เป็นเรื่องง่าย สามารถอ่านได้ในหนังสือวิเคราะห์หุ้นราย Sector : หุ้นกลุ่มการแพทย์ เขียนโดยคุณนฤมล เอกสมุทร ผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการมากกว่า 20 ปี และได้รับรางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมอย่างน้อย 4 ครั้ง โดยทดลองอ่านหรือสั่งซื้อ ได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

แท็กที่เกี่ยวข้อง: