ล็อกเป้าหุ้นปันผล ช่วงตลาดผันผวน

หากนักลงทุนประเมินว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสผันผวนต่อไป ขณะเดียวกันก็ยังต้องการลงทุนในหุ้นต่อ และช่วงนี้ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงที่บริษัทจดทะเบียนจะประกาศผลประกอบการประจำปี 2563 โดยบริษัทจดทะเบียนที่จ่ายปันผลก็จะประกาศแผนการจ่ายเงินปันผลออกมาด้วย ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะมองหาหุ้นปันผลเพื่อเก็บเข้าพอร์ต เพราะหุ้นปันผลได้รับการยอมรับว่าเป็นหุ้นที่สามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้

หุ้นปันผล คือ หุ้นที่จ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ มีโครงสร้างทางการเงินที่สามารถจ่ายปันผลได้ กล่าวคือ มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี มีการลงทุนไม่หวือหวา มีกระแสเงินสดเป็นบวก และมีหนี้สินต่ำ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลนั้นไม่ได้ดูที่บริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ และสามารถคาดการณ์การจ่ายเงินปันผลได้พอสมควร

โดยหุ้นปันผลที่ดี เวลาราคาปรับลดลงมาจะเหมือนมีเบาะรองรับ เพราะจะมีนักลงทุนมองเห็นว่าเมื่อราคาปรับลดลง อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) จะปรับสูงขึ้น และจะมีการเข้าไปซื้อ จึงเหมือนมีแรงพยุงเอาไว้

ทำไมต้องมีหุ้นปันผลติดพอร์ต

ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี ของไทยปรับลดลงมาต่ำ โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 0.44% ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ระดับ 0.50% และประเมินว่าดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกนานพอสมควร หรือจนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงมีโอกาสน้อยที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ ขณะเดียวกันก็มีโอกาสสูงที่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลาดหุ้นมีความผันผวนจากปัจจัยลบ โดยเฉพาะวิกฤติ COVID-19 ระลอกใหม่ ทำให้นักลงทุนกังวลกับสภาวะการลงทุนในปัจจุบัน “แน่นอนหุ้นเป็นตลาดการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงและสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง ข้อดีของการลงทุนในหุ้นปันผล คือ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีรายได้จากเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นรายไตรมาส ครึ่งปี หรือรับเงินปันผลปีละครั้ง” เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้เหตุผลถึงความน่าสนใจกับการลงทุนในหุ้นปันผล

เทิดศักดิ์ ยังอธิบายต่อว่า หุ้นปันผลมักจะสร้างผลตอบแทน (Outperform) โดดเด่นในช่วง 4 เดือนแรกของปี สะท้อนได้จากสถิติในอดีตช่วงที่ตลาดอยู่ในสภาวะปกติ (ปี 2558 - 2562) พบว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี ดัชนี SETHD TRI (ดัชนีหุ้นปันผลที่มีการจ่ายปันผลติดต่อกัน 3 ปี และอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุด 30 อันดับแรกที่มีการบวกเงินปันผลกลับมา) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.61% และสร้างผลตอบแทนดีกว่า SET TRI (ดัชนีหุ้นไทยที่มีการบวกเงินปันผลจ่ายกลับมาแล้ว) ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 6.44%

“เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ดัชนี SETHD TRI มักจะสร้างผลตอบแทนดีกว่า SET TRI” เทิดศักดิ์ ย้ำ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี (ปี 2558 - 2562) ของดัชนี SETHD TRI อยู่ที่ระดับ 3.01%, 2.66% และ 1.09% ตามลำดับ ขณะที่ SET TRI ให้ผลตอบแทน 0.80%, 1.34% และ 1.05% ตามลำดับ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นปันผลสไตล์เทิดศักดิ์ คือ ให้มองหาหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) มากกว่า 3.5% ต่อปี, หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำซื้อและมี Upside, ดูประวัติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง เช่น จ่ายเงินปันผลติดต่อกัน 5 ปี

นอกจากนี้ นักลงทุนควรดูโครงสร้างทางการเงินด้วยว่า มีความแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน มีสถานะทางการเงินเป็นอย่างไร, กระแสเงินสดมีเพียงพอในการจ่ายเงินปันผลมากน้อยแค่ไหน, กำไรสะสมจะต้องเป็นบวก รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการ เทิดศักดิ์ แนะนำทิ้งทาย

สำหรับใครที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นปันผล” ด้วยตนเอง ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ www.setsmart.com ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ได้ทดลองใช้งาน SETSMART ฟรี 15 วัน เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก SET Member เท่านั้น และหากใครที่ต้องการใช้ต่อ ก็มีค่าใช้จ่ายเพียง 250 บาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!! >> คลิกที่นี่

และสำหรับมือใหม่ที่สนใจเรียนรู้หลักพื้นฐานในการประเมินมูลค่าหุ้น เพื่อคัดเลือกหุ้นดีเข้าพอร์ตลงทุน ตลอดจนกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้น และบริหารพอร์ตหุ้นในแต่ละสภาวะ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “การลงทุนในหุ้น” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน