ขี่พญามังกรทะลุฟ้าไปกับ 3 DR จีน – ฮ่องกง

โดย รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง
3 Min Read
13 กรกฎาคม 2565
3.366k views
Inv_ขี่พญามังกรทะลุฟ้าไปกับ 3 DR จีนฮ่องกง_Thumbnail
Highlights
  • แม้ว่าในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกงจะปรับตัวลดลง หลังได้รับแรงกดดันจากนโยบายจัดระเบียบกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และนโยบาย Zero-COVID แต่คาดว่าทั้ง 2 ตลาด ได้ผ่านจุดต่ำสุดในเชิงนโยบายไปแล้ว

  • จีนและสหรัฐฯ ต่างมีนโยบายการเงินและการคลังที่สวนทางกัน โดยจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ขณะที่ สหรัฐฯ มีความเข้มงวดมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้

  • นักลงทุนที่สนใจกระจายการลงทุนมายังตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกง ปัจจุบันสามารถลงทุนได้สะดวกผ่านตลาดหุ้นไทย ลงทุนได้ด้วยเงินบาท โดยมี 3 DR ให้เลือกลงทุน

หากย้อนอดีตไปสัก 40 ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อว่าจีนจะกลับมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้อีกครั้ง เพราะเมื่อปี 2523 จีนมีขนาด GDP เพียง 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพียง 7% ของ GDP สหรัฐฯ แต่ในปี 2565 จีนมีขนาด GDP ถึง 17.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 77% หรือมากกว่า 3 ใน 4 ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั่นหมายถึงช่องว่างระหว่างขนาดของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังลดลง และมีโอกาสที่พญามังกรตัวนี้จะก้าวขึ้นมาแซงสหรัฐฯ ได้ในอนาคต

 

ในเชิงโครงสร้าง จีนได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคของ “เหมา เจ๋อ ตุง” ที่เน้นภาคอุตสาหกรรม ต่อมาในยุคของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” ที่เน้นเปิดประเทศรับเงินลงทุนจากต่างชาติ จนมาถึงยุคของ “สี จิ้นผิง” ที่เน้นการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความสมดุลในสังคมจีน เพื่อการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว โดยหนึ่งในนโยบายหลักที่สร้างความสะเทือนไปยังตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกงในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา คือ การจัดระเบียบกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ตามหลักการ “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน หรือ Common Prosperity”

 

ในด้านนโยบายรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จีนถือเป็นประเทศที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจาก สี จิ้นผิง ยังไม่ได้ยกเลิกนโยบาย Zero-COVID” โดยหากเริ่มมีสัญญาณผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รัฐบาลจะทำการล็อกดาวน์ทันที ทำให้นโยบายดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนดาบสองคม กล่าวคือ แม้จีนอาจจะควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี แต่การล็อกดาวน์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน

 

ด้วยเหตุนี้ จึงมีกระแสข่าวลือความขัดแย้งระหว่าง สี จิ้นผิง และ นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากฝั่งนายกฯ ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลี่ เค่อเฉี่ยง ได้ประกาศว่าจะไม่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อ หากครบวาระที่ 2 ในปี 2566 ขณะที่ สี จิ้นผิง ดูเหมือนว่าจะปูทางให้ตัวเองได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 (ดำรงตำแหน่งอีก 5 ปี) ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

 

ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกงจะปรับตัวลดลงในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา หลังได้รับแรงกดดันจาก 2 นโยบายหลักที่กล่าวไปข้างต้น โดยดัชนี CSI 300 ที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นจีน (A-share) ได้ปรับลดลงไปแล้วกว่า 25% นับจากจุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ที่สะท้อนถึงหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นฮ่องกง ได้ปรับลดลงกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี ประเมินว่าจุดต่ำสุดในเชิงนโยบายได้ผ่านพ้นไปแล้ว จากเหตุการณ์สำคัญ ดังต่อไปนี้

  • 16 มีนาคม 2565 รองนายกฯ หลิว เหอ ได้ประกาศว่าจะทำให้การจัดระเบียบมีความโปร่งใสมากขึ้น
  • 2 เมษายน 2565 ก.ล.ต. จีน เสนอแก้ไขกฎหมายให้สหรัฐฯ สามารถตรวจสอบบัญชีบริษัทจีนได้ เพื่อหาทางออกกรณีถอดถอนหุ้น ADR จีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
  • 29 เมษายน 2565 ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นได้ลดค่าธรรมเนียมการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (Clearing Fee) ลง 50% เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี เพื่อกระตุ้นปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นจีน
  • 11 พฤษภาคม 2565 โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าสหรัฐฯ อาจลดกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่จัดตั้งขึ้นมาในสมัยรัฐบาลโดนัล ทรัมป์ เพื่อบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อ แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้น
  • 1 มิถุนายน 2565 จีนคลายล็อกดาวน์เมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เป็นต้น หลังจากที่ล็อกดาวน์มานานกว่า 2 เดือน
  • 17 มิถุนายน 2565 ธนาคารกลางจีนได้ยอมรับข้อเสนอที่ Ant Group จะปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อ IPO ในตลาดหุ้น

 

สังเกตว่า สิ่งที่กดดันตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกง มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ดัชนี CSI 300 และดัชนีฮั่งเส็ง เริ่มฟื้นตัวจากวันที่รองนายกฯ จีนออกแถลงการณ์ครั้งสำคัญเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ราว 9% และ 15% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ปรับลดลงกว่า 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ นโยบายการเงินและการคลังของทั้งสองประเทศ ยังถือว่าสวนทางกันด้วย โดยจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง เช่น ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ขณะที่ สหรัฐฯ เข้มงวดกว่ามาก โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 0.75% และยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่องในปีนี้

 

ทั้งนี้ ขวากหนามด้านนโยบายเดียวที่ยังเหลืออยู่ในตลาดหุ้นจีน - ฮ่องกง คือ นโยบาย Zero-COVID ซึ่งหากถูกยกเลิกไปได้ ประเมินว่าตลาดหุ้นจะกลับมาวิ่งขึ้น (Bull Market) อย่างเต็มรูปแบบ ถ้าเป็นเช่นนั้น หากนักลงทุนเริ่มมีความสนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกงมากขึ้น สามารถลงทุนได้ผ่านตลาดหุ้นไทย คือ DR โดยมี 3 DR ที่มีให้เลือกลงทุน ดังนี้

 

  1. DR อ้างอิง ChinaAMC CSI 300 Index ETF (3188.HK) หรือ สัญลักษณ์ CN01

เป็น DR ที่อ้างอิงการลงทุนในดัชนี CSI 300 ที่ประกอบด้วยหุ้น A-share ขนาดใหญ่ 300 ตัว ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น โดยสัดส่วนอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก ได้แก่ การเงิน (20%), อุตสาหการ (16%) และสินค้าอุปโภคบริโภค (15%) ขณะที่หุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ Kweichow Moutai (7%) ผู้ผลิตสุราอันดับ 1 ของจีน / Contemporary Amperex Technology (4%) หรือ CATL เป็นเจ้าตลาดผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-Ion) และ Ping An Insurance (3%) บริษัทประกันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีน

 

  1. DR อ้างอิง Premia China STAR50 ETF (3151.HK) หรือ สัญลักษณ์ STAR5001

เป็น DR ที่อ้างอิงการลงทุนในดัชนี STAR 50 ที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัว บนกระดาน STAR เน้นไปที่หุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม A-share เปรียบเสมือนตลาดน้องใหม่ที่พร้อมก้าวขึ้นเป็นตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำอย่าง NASDAQ ของสหรัฐอเมริกาในอนาคต โดยสัดส่วนอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก ได้แก่ เทคโนโลยี (61%) อุตสาหการ (11.4%) และการแพทย์ (11.2%) ขณะที่หุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ SMIC (8%) ผู้ผลิตชิปอันดับ 1 ของจีน / Trina Solar (6%) ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ชั้นนำของโลก และ Advanced Micro-Fabrication Equipment (4%) หรือ AMEC เป็นผู้ผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการผลิตชิป โดยลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท ได้แก่ TSMC, SMIC, Intel เป็นต้น

 

  1. DR อ้างอิง ChinaAMC Hang Seng Tech Index ETF (3088.HK) หรือ สัญลักษณ์ CNTECH01

เป็น DR ที่อ้างอิงการลงทุนในดัชนี Hang Seng Tech ที่ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยี 30 ตัว ในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยสัดส่วนอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก ได้แก่ เทคโนโลยี (78%) สินค้าฟุ่มเฟือย (9%) และอุตสาหการ (7%) ขณะที่หุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ Meituan (10%) เจ้าของแอปพลิเคชันขนส่งอาหารและจองโรงแรม ร้านอาหารและท่องเที่ยว / Alibaba (9%) E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในจีน เจ้าของ Taobao, Tmall, Lazada และ Tencent (8%) บริษัทเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นเจ้าของ WeChat โซเชียลมีเดียอันดับ 1 ของจีน

 

กล่าวโดยสรุป DR ทั้ง 3 ตัว ถือเป็นเครื่องมือชั้นดีในการกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกง ผ่านกลไกตลาดหุ้นไทย โดยหากเชื่อว่าฟ้าหลังฝนย่อมมีความสดใส และในวันที่ความเชื่อมั่นหุ้นจีน – ฮ่องกงกลับมา อาจเป็นตลาดการลงทุนที่น่าสนใจและสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าประทับใจ

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ อยากเรียนรู้และทำความเข้าใจการลงทุน DR ตลอดจนกลไกการเคลื่อนไหวของราคา วิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์การลงทุนใน DR เพื่อกระจายการลงทุน และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุน DR ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: