หากถามว่าในพอร์ตลงทุนมีหุ้นประเภทใดบ้าง เชื่อว่า “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) เป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมประเภทหนึ่ง เพราะหากมีอยู่ในพอร์ตด้วยจำนวนที่เหมาะสมและเป็นหุ้นที่ดีจะเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตลงทุนได้
การลงทุนในหุ้นเติบโต หมายถึง การซื้อหุ้นบริษัทที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ ด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายหรือรายได้ที่สูง ปีเตอร์ ลินซ์ นักลงทุนและอดีตผู้จัดการกองทุนระดับตำนาน ผู้ชื่นชอบการลงทุนหุ้นเติบโต กล่าวไว้ว่า หุ้นกลุ่มนี้ควรมีการเติบโตปีละ 20 – 25% หรือมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอย่างก้าวกระโดด ขณะเดียวกันกิจการต้องมีคุณภาพหรือมีความแข็งแกร่ง เช่น มีแบรนด์สินค้าที่แข็งแรงเป็นที่รู้จัก มีความได้เปรียบด้านต้นทุน มีสิทธิบัตรหรือสัมปทาน รวมถึงมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ และมีบรรษัทภิบาลสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ หุ้นเติบโตต้องมีแนวโน้มอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวอย่างโดดเด่น โดยวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะดูว่าบริษัทใดเป็นหุ้นเติบโต คือ การประเมินมูลค่าหุ้น ด้วยการดู P/E Ratio และ P/BV Ratio ว่าอยู่ในระดับสูงและสูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่
เนื่องจากปัจจุบัน นักลงทุนเริ่มมองหาหุ้นเติบโตที่ดีมีศักยภาพเพื่อเก็บสะสมไว้ในพอร์ตลงทุน รวมถึงคาดหวังผลตอบแทนโดยรวมว่าจะชนะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเติบโตให้ได้ผลตอบแทนที่ดีมักต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้น ควรทำความเข้าใจและถามตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุน
เหตุผลที่ต้องเตรียมเงินลงทุนให้พร้อม เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเติบโตอาจต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวในการลงทุน เพราะเป็นการลงทุนในช่วงที่ธุรกิจกำลังเติบโต อาจใช้เงินลงทุนที่สูง ซึ่งอาจทำให้รายได้และกำไรไม่เติบโต หรือมักซื้อขายหุ้นในช่วงที่ P/E Ratio อยู่ในระดับสูง จึงต้องใช้ความอดทนในการลงทุน เช่น 3 - 5 ปี กว่าที่ธุรกิจจะสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน
2. ทำความเข้าใจการเติบโตของหุ้น
สิ่งสำคัญประการหนึ่งสำหรับการลงทุนหุ้นเติบโต คือ การเลือกรูปแบบให้เหมาะกับตัวเอง เช่น หากสนใจหุ้นเติบโตด้วยธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีประวัติการสร้างรายได้ที่ดี นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับอัตราส่วนทางการเงิน เช่น อัตรากำไรจากการดำเนินงาน ผลตอบแทนจากการลงทุน หรืออัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น
ในทางกลับกัน หากเน้นหุ้นเติบโตด้านยอดขาย ต้องดูว่าธุรกิจมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอหรือไม่ หรือธุรกิจไหนสร้างยอดขายด้วยการไปซื้อธุรกิจอื่น ๆ แต่การมองหาธุรกิจแบบนี้อาจมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นเติบโตด้วยธุรกิจขนาดใหญ่
3. สัดส่วนการลงทุน
นักลงทุนมือใหม่ อาจเริ่มต้นด้วยการแบ่งเงินลงทุนไปลงทุนในหุ้นเติบโตเพียงเล็กน้อย เช่น 10% ของมูลค่าพอร์ตลงทุนโดยรวม และเมื่อรับความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นเติบโตได้สูงขึ้น หรือหุ้นเติบโตสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้น จึงค่อย ๆ เพิ่มเงินลงทุน
อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของหุ้นเติบโตถือว่ามีความผันผวนมากกว่าหุ้นคุณค่าหรือหุ้นปันผล ดังนั้น วิธีหนึ่งที่จะลดความผันผวนได้ คือ มีความยืดหยุ่นในการลงทุน พูดง่าย ๆ คือ สามารถเพิ่มหรือลดจำนวนหุ้นเติบโตได้ตลอดเวลา หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง หรือมีความกังวลมากขึ้นว่าจะเกิดความเสียหายในอนาคต ถ้ารู้สึกแบบนี้ก็ต้องลดพอร์ตหุ้นเติบโตลง
4. ติดตามอย่างใกล้ชิด
จากการที่หุ้นเติบโตต้องใช้เวลาในการลงทุนกว่าจะเห็นผลตอบแทน จึงมีความเป็นไปได้ว่าในช่วงที่ถือหุ้นอยู่อาจมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามากระทบและทำให้ราคาหุ้นผันผวน ดังนั้น ควรจับตาดูการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และปรับกลยุทธ์ถ้าประเมินแล้วว่าอาจสร้างความเสียหายให้กับพอร์ตลงทุน เช่น
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นเติบโต” ด้วยตนเอง สามารถสมัครใช้บริการ SETSMART ได้ที่เว็บไซต์ www.setsmart.com เพียง 250 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!
และสำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้วิธีประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E Ratio และ P/BV Ratio เพื่อหาราคาที่เหมาะสมในการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Valuation : Relative Valuation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่