DR STAR5001 โอกาสลงทุนหุ้นนวัตกรรมจีน ผ่านตลาดหุ้นไทย

โดย รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง
2 Min Read
22 มิถุนายน 2565
9.774k views
Inv_DR STAR5001 โอกาสลงทุนหุ้นนวัตกรรมจีน ผ่านตลาดหุ้นไทย_Thumbnail
Highlights
  • ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำของจีน กับ DR “STAR5001” ผ่านตลาดหุ้นไทย ซึ่งอ้างอิงกับ Premia China STAR50 ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและลงทุนอ้างอิงดัชนี STAR 50

  • ดัชนี STAR 50 ประกอบไปด้วยหุ้น 50 ตัวแรก ตามมูลค่าตลาดบนกระดาน STAR ของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ โดยหุ้นในดัชนีส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีประเภท “Hard Tech” และบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง

  • การลงทุนใน DR “STAR5001” เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น A-share ของจีน ต้องการกระจายลงทุนในหุ้นเศรษฐกิจใหม่ และต้องการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน ที่สำคัญต้องสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงสูง

การอพยพย้ายถิ่นฐาน เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ หากลองศึกษาประวัติศาสตร์ จะเห็นทั้งการย้ายเพื่อตั้งรกราก หรือย้ายเพื่อหนีสงคราม ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติและธรรมดาสำหรับมนุษย์ แต่ในปัจจุบันหากประชากรที่มีศักยภาพ มีทักษะหรือความรู้เฉพาะทางก็สามารถย้ายถิ่นที่อยู่ไปอยู่ในประเทศอื่นนอกเหนือจากประเทศบ้านเกิด มักเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์สมองไหล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศในระยะยาวได้

 

ฉันใดก็ฉันนั้น ในประเทศจีนที่ปัจจุบันมีตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ซึ่งหากรวมตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงด้วยแล้วจะกลายเป็น 4 แห่ง โดยแต่เดิมตลาดเหล่านี้มีกฎเกณฑ์สำหรับบริษัทที่ต้องการเข้ามาจดทะเบียนเพื่อระดมทุนค่อนข้างเข้มข้น ทำให้บริษัทในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตแต่ยังไม่มีกำไรเนื่องจากอยู่ในขั้นเริ่มต้น ย้ายไปจดทะเบียนในต่างประเทศที่มีเกณฑ์ที่ผ่อนคลายกว่า และด้วยแนวคิดนี้เองจึงเป็นสาเหตสำคัญที่ทำให้ทางการจีนจัดตั้งกระดาน STAR ภายใต้ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เพื่อป้องกันปรากฏการณ์สมองไหลในตลาดหุ้นจีน

 

กระดาน STAR (Shanghai Stock Exchange Science and Technology Innovation Board) คือ กระดานที่เน้นรวบรวมบริษัทจีนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีหรือธุรกิจแบบเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยมีเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัย (R&D) และมีเกณฑ์ที่ผ่อนคลายกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นของจีน เช่น บริษัทที่ยังไม่มีกำไรก็สามารถเข้ามาจดทะเบียนบนกระดาน STAR ได้ เป็นต้น จึงทำให้หลายคนมองว่ากระดาน STAR อาจคล้ายเป็น NASDAQ แห่งจีนในอนาคต

 

ล่าสุด บล.บัวหลวง ออกตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศหรือ DR “STAR5001” และนำเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 โดย DR ดังกล่าวมีหลักทรัพย์อ้างอิงคือ Premia China STAR50 ETF หรือสัญลักษณ์ “3151.HK” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ออกโดย Premia Partners (บริษัทจัดการกองทุน ETF ของฮ่องกง) และลงทุนอิงดัชนี STAR 50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำ 50 ตัวแรกบนกระดาน STAR โดยหุ้นในดัชนีส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีประเภท Hard Tech เช่น ผู้ผลิตชิป เทคโนโลยีชีวภาพ หรือพลังงานสะอาด เป็นต้น ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากแผนยุทธศาสตร์ชาติจีนฉบับที่ 14 (ปี 2564 - 2568) ที่มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น

  • Semiconductor Manufacturing International Corporation หรือ SMIC มีน้ำหนัก 9% ในดัชนี บริษัทผู้ผลิต semiconductor รายใหญ่ที่สุดของจีน โดยบริษัทรับจ้างผลิตแผนวงจรหรือชิป ซึ่งถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2543 หรือกว่า 22 ปีที่แล้ว
  • Trina Solar มีน้ำหนัก 6% ในดัชนี บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีแผงโซล่าร์เซลล์ และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะครบวงจร ที่มีการขยายการดำเนินงานไปในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
  • Kingsoft Office มีน้ำหนัก 7% ในดัชนี บริษัทซอฟต์แวร์และอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีน ผู้เป็นเจ้าของ WPS Office ซอฟต์แวร์สำหรับสำนักงาน คล้าย Microsoft ของสหรัฐอเมริกา
  • Roborock มีน้ำหนัก 6% ในดัชนี แบรนด์ผู้นำด้านการผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาดและเครื่องดูดฝุ่นระดับโลก ที่ได้รับความนิยมจากหลายประเทศทั่วโลก และยังเป็นบริษัทที่มี Xiaomi หนุนหลังอีกด้วย

 

แน่นอนว่านักลงทุนที่เคยลงทุนในหุ้นจีนมาบ้างแล้ว อาจเกิดคำถามในใจว่าแล้วดัชนี STAR 50 ต่างจากดัชนี ChiNext อย่างไร ดัชนี ChiNext เป็นดัชนีหุ้นธุรกิจสตาร์ทอัพของฝั่งตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และดัชนี Hang Seng Tech ที่ประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของจีนอย่าง Alibaba, Tencent, Xiaomi ของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยมีข้อสังเกตบางประการ คือ ดัชนี ChiNext และ ดัชนี STAR 50 นั้นเป็นหุ้น A-share ซึ่งเป็นกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ยาก (ต้องลงทะเบียนเป็น QFII หรือลงทุนผ่านโปรแกรม Stock Connect) ต่างจากดัชนี Hang Seng Tech ที่เป็นหุ้น H-share ที่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนได้สะดวก

 

อีกทั้ง ดัชนี ChiNext มีสัดส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรมและการแพทย์รวมกันมากกว่า 50% ในขณะที่ดัชนี STAR 50 และดัชนี Hang Seng Tech จะมีกลุ่มเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีข้อแตกต่างตรงที่ดัชนี STAR 50 มักเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่จับต้องได้หรือ Hard Tech ขณะที่ Hang Seng Tech เป็นกลุ่มเทคโนโลยีจำพวกอินเทอร์เน็ตและอีคอมเมิร์ซ หรือ Soft Tech อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนี STAR 50 เพิ่งจัดตั้งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ถูกคาดหมายว่าจะเป็น “ลูกรัก” ของทางการจีน เนื่องจากบริษัทที่อยู่ในดัชนีส่วนใหญ่เป็นส่วนประกอบที่อิงกับแผนยุทธศาสตร์ชาติของจีน

 

กล่าวโดยสรุป การลงทุนใน DR “STAR5001” ช่วยทลายข้อจำกัดการลงทุนในหุ้น A-shares ของจีน เพราะนักลงทุนสามารถลงทุนได้ง่าย สะดวก ได้ประสิทธิภาพ ผ่านตลาดหุ้นไทย อีกทั้ง ได้กระจายการลงทุนไปยังหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีนที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแผนยุทธศาสตร์ชาติจีนอีกด้วย

 

ในด้านของมูลค่าก็เริ่มน่าสนใจโดยคาดการณ์ P/E Ratio ของหุ้นในดัชนี STAR 50 จาก Premia Partners ในปีนี้อยู่ที่ 30 เท่า เทียบกับการเติบโตที่อาจสูงถึง 37% นั่นหมายถึงมี PEG Ratio เพียง 0.81 เท่า อย่างไรก็ดี ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง จึงควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนเพื่อพิจารณาความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สามารถยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR “STAR5001” ได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ อยากเรียนรู้และทำความเข้าใจการลงทุน DR ตลอดจนกลไกการเคลื่อนไหวของราคา วิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์การลงทุนใน DR เพื่อกระจายการลงทุนและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุน DR ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: