เมื่อกล่าวถึงหุ้นเทคโนโลยี นักลงทุนทั่วไปอาจนึกถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจ Food Delivery ธุรกิจ E-Commerce หรือธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหลายครั้งอาจต้องยอมขาดทุนเงินเป็นจำนวนมากในช่วงของการเริ่มต้นกิจการ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ติดแบรนด์หรือทดลองใช้แพลตฟอร์ม โดยจูงใจด้วยการแจกส่วนลดหรือโปรโมชั่น จนบางครั้งคนในวงการถึงกับเรียกว่า “ธุรกิจเผาเงิน” เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว และสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ดี หากบริษัทไม่ได้มีเงินทุนที่สายป่านยาวพอหรือมีบริษัทแม่ที่กระเป๋าหนา บริษัทเหล่านั้นอาจล้มหายตายจากได้เร็ว ถ้าธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ
การลงทุนหุ้นเทคโนโลยีในอดีตอาจมีภาพติดตาเชิงลบ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ผ่านวิกฤติดอทคอมเมื่อปี 2543 มาแล้ว แต่ในปัจจุบันภาพเหล่านั้นได้จางหายไป ด้วยความที่โลกเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีผ่านทางโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์อย่างถาวร หรือเรียกว่าเป็นปัจจัยที่ 5 และ 6 ก็ว่าได้
ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นต่อเนื่องและเป็น “ของจริง” ซึ่งต่างจากยุคก่อน โดยเฉพาะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ช่วยเร่งให้ผู้บริโภคหันมาใช้งาน บริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้รายได้ของบริษัทเหล่านั้นเติบโตได้ดีในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อได้ในอนาคต เช่น บริษัท Apple, Alphabet (Google), Adobe, Microsoft, Amazon, Nvidia, Meta Platforms (Facebook), Intuitive Surgical, Tesla เป็นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ก็อาจส่งผลให้การเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีชะลอตัวลงได้ในระยะสั้น
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ บล.บัวหลวง ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถกระจายการลงทุนไปในหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกได้ผ่านหุ้นไทย ด้วยการออก DR “NDX01” และนำเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 โดย DR ดังกล่าวมีหลักทรัพย์อ้างอิง คือ ChinaAMC NASDAQ 100 ETF หรือสัญลักษณ์ 3086.HK ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ออกโดย China Asset Management และลงทุนอ้างอิงดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งเป็นดัชนีที่ถูกออกแบบมาอิงการเคลื่อนไหวของ 100 บริษัทแรกตามมูลค่าตลาดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ (ที่ไม่ใช่กลุ่มการเงิน) ซึ่งรวมไปถึงหุ้นประเภท American Depositary Receipts หรือ ADRs
แม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะมีโอกาสเติบโตดีในอนาคต แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลและติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารตลอดเวลา และหากสนใจลงทุนหุ้นเทคโนโลยีผ่าน DR “NDX01” มีข้อควรรู้ 3 ข้อเบื้องต้น ดังนี้
ดัชนี NASDAQ 100 ไม่ได้มีแต่หุ้นเทคโนโลยีและหุ้นสหรัฐฯ
ถึงแม้ว่าดัชนี NASDAQ 100 จะประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ เช่น กลุ่ม FANGMAN (Facebook, Amazon, Netflix, Google, Microsoft, Apple, Nvidia) ที่มีมูลค่าตลาดรวมกันคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของหุ้นในดัชนี แต่ดัชนี NASDAQ 100 ยังประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำกลุ่มอื่น นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยีอีกด้วย เช่น Tesla, PepsiCo, Moderna, Marriott หรือ Starbucks เป็นต้น
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าดัชนี NASDAQ 100 มีส่วนประกอบของหุ้นประเภท ADRs จึงทำให้ในดัชนีไม่ได้มีเพียงแต่บริษัทในสหรัฐอเมริกา แต่ยังมีหุ้นที่มาจากสัญชาติอื่นแต่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย เช่น JD.com, NetEase, Pinduoduo และ Baidu เป็นต้น โดยปัจจุบันมีหุ้นอยู่ 4 บริษัท ได้แก่ Apple, Intel, PACCAR และ Costco ที่อยู่มาตั้งแต่เริ่มจัดตั้งดัชนีเมื่อปี 2528 และไม่เคยถูกปรับออกจากดัชนีเป็นเวลากว่า 37 ปี
แม้จะชื่อ NASDAQ 100 แต่ไม่ได้มีหุ้น 100 ตัว
ดัชนีมีข้อกำหนดไว้ที่ 100 บริษัท แต่มีหุ้นอยู่ทั้งหมด 102 ตัว เนื่องจากมีบางบริษัทที่จำแนกหุ้นเป็นหลายประเภท เช่น บริษัท Alphabet ได้จำแนกหุ้นเป็น Class A (GOOGL) และ Class C (GOOG) โดย Class A เป็นหุ้นสามัญทั่วไปที่ผู้ซื้อมีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งหุ้นมักจะซื้อขายที่ราคา Premium เล็กน้อย ขณะที่ Class C เป็นหุ้นที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เป็นต้น แถมเกร็ดอีกเล็กน้อยว่า Class B ก็มีนะครับ แต่ถือหุ้นโดยผู้ก่อตั้งและผู้บริหารระดับสูงของ Alphabet ซึ่ง 1 หุ้นมีสิทธิ์ออกเสียงได้ถึง 10 เสียง
ผลตอบแทนในอดีตเทียบกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ถือได้ว่าโดดเด่น
หากเทียบผลตอบแทนรายปีในอดีต (ปี 2551 - 2564) พบว่าดัชนี NASDAQ 100 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีได้ที่ 17% สูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่ทำได้ที่ 11% ในขณะที่ความผันผวนต่อปีอยู่ที่ 23% สูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 21% เพียงเล็กน้อย นับว่าเป็นทศวรรษแห่งการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามเทรนด์ Digitalization อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ดัชนี NASDAQ 100 ได้ปรับตัวลงมากว่า 27% จากปัจจัยความเสี่ยงสงครามรัสเซียกับยูเครน เงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed รวมถึงมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กบางตัวที่แพงมาก (ขณะที่บริษัทยังไม่มีกำไร) ส่งผลให้ Forward P/E Ratio 12 เดือนข้างหน้าของดัชนี NASDAQ 100 ปรับลงมาอยู่ที่บริเวณ 21.4 เท่าในปัจจุบัน ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่บริเวณ 21.3 เท่า ซึ่งในเชิงมูลค่าแล้วเริ่มน่าสนใจ ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดว่ากำไรต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเติบโตได้ประมาณ 18.3% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน เพื่อพิจารณาความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR “NDX01” ได้ที่ >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ อยากเรียนรู้และทำความเข้าใจการลงทุน DR ตลอดจนกลไกการเคลื่อนไหวของราคา วิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์การลงทุนใน DR เพื่อกระจายการลงทุน และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุน DR ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่