“อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง ตลาดหุ้นจะปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น ตลาดหุ้นจะปรับลดลง” เป็นสถานการณ์ที่นักลงทุนต้องเตรียมตัวรับมือทุกครั้งเมื่อได้ยินประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ออกมาส่งสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2561 ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณว่าปีนี้มีโอกาสปรับขึ้น 6 – 7 ครั้ง และปีถัดไปอีก 3 ครั้ง ดังนั้น นักลงทุนจึงเพิ่มความระมัดระวังในช่วงเวลาดังกล่าวและเฝ้าติดตามว่าตลาดหุ้นจะปรับลงหรือไม่
Bloomberg เผยข้อมูลสถิติในช่วงที่ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น ปี 2547 และปี 2559 ปรากฏว่าก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 - 6 เดือน ดัชนีหุ้นโลก (MSCI World Index) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ หลังจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเริ่มปรับขึ้น 1 - 2 ครั้ง ตลาดหุ้นจะค่อย ๆ ปรับขึ้นและเข้าสู่ภาวะปกติ
และหากพิจารณาระหว่าง Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุด (วันที่ 17 มีนาคม 2565) กับดัชนีหุ้นไทย พบว่าดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงติดต่อกัน 2 วัน (วันศุกร์ที่ 18 และวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565) หลังจากนั้นดัชนีหุ้นไทยก็ปรับขึ้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยปัจจัยสำคัญหนึ่งมาจากนักลงทุนทยอยรับรู้ข่าวมานานพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกันก็แน่ใจกับนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคต ปัจจุบันนักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นว่าธุรกิจไหนสามารถเติบโตต่อไปได้ โดยธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน เช่น แบงก์ และประกัน
อัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น มีความสำคัญกับธุรกิจแบงก์ 2 เรื่อง
โดยสรุป หากพิจารณาผลกระทบการดำเนินธุรกิจแบงก์ จากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้จากการปล่อยสินเชื่อ และระดับหนี้เสีย เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้น ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้จากการปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น ขณะที่หนี้เสียจะปรับลดลง
เช่นเดียวกับธุรกิจประกันชีวิตก็ได้รับประโยชน์เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้น เพราะภาระหนี้สินที่เกิดจากการถือกรมธรรม์ระยะยาว ทำให้ต้องนำเงินเบี้ยประกันไปลงทุนต่อ เช่น นำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้ดอกเบี้ย 1% แต่เมื่อดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น พันธบัตรรัฐบาลให้ดอกเบี้ย 2% ประกันชีวิตที่นำเงินไปลงทุนก็จะได้รับดอกเบี้ย 2% เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มประกันต้องเข้าไปศึกษาพอร์ตลงทุนแต่ละบริษัทก่อนว่าเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้น คือ บริษัทที่มีกระแสเงินสดสุทธิที่ดี (Net Cash Flow) มีหนี้สินต่ำ ภาระดอกเบี้ยจ่ายต่ำ หรือไม่มีเงินกู้ ซึ่งการมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งจะมีโอกาสในการสร้างผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้น
ไม่ว่าจะนโยบายการเงิน การคลัง หรือสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ก่อนตัดสินใจลงทุนจะต้องทำการประเมินมูลค่าหุ้นในอนาคต เช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาขึ้นจะทำให้หุ้นมีมูลค่าลดลง เพราะกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับมีมูลค่าลดลงจากการถูกคำนวณด้วยอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่มีอัตราสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น
ดังนั้น นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจว่ามีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด โดยเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง มีหนี้สินต่ำหรือไม่มีหนี้ รวมถึงมีต้นทุนในการระดมทุนต่ำ ซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นในอนาคต
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่าย ๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือสนใจเรียนรู้ภาพรวมและเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์อุตสาหกรรม เพื่อค้นหาหุ้นดีในอุตสาหกรรมที่โดดเด่น น่าลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่