สร้างพอร์ตเติบโตด้วย Growth Stock

โดย SET
3 Min Read
2 มกราคม 2564
7.006k views
TSI_104_สร้างพอร์ตเติบโตด้วย Growth Stock
Highlights
  • หุ้นเติบโต (Growth Stock) เป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและรวดเร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ ตั้งแต่การเติบโตของสินทรัพย์ รายได้ และกำไรของบริษัท นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบลงทุนในหุ้นเติบโต เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนสูง ภายในระยะเวลาการถือหุ้นไม่นานนัก

  • หัวใจสำคัญในการลงทุนหุ้น Growth Stock คือ การมองทิศทางของเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมภาพใหญ่ให้ออกว่า... ใน 5 - 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจแบบใดจะเป็นธุรกิจในอนาคตและจะมีการเติบโตสูง

ธุรกิจที่เป็นผู้นำสร้างการเติบโตได้ระดับสูงๆ ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี มักจะสร้างผลตอบแทนอย่างสูงให้กับบริษัทหรือผู้ถือหุ้น กิจการในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เช่นกัน มีหลายบริษัทและธุรกิจที่สร้างการเติบโตในระดับ 20-30% ต่อปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งหุ้นของบริษัทเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า Growth Stock

 

หุ้นเติบโต (Growth Stock) หมายถึง หุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและรวดเร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ โดยครอบคลุมตั้งแต่การเติบโตของสินทรัพย์ รายได้ และกำไรของบริษัท ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เหตุผลที่หลายๆ คนอยากมีหุ้นเติบโตไว้ในครอบครอง คือ ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงในระยะเวลาการถือหุ้นที่ไม่นาน

 

เทคนิคสแกนหา Growth Stock

 

หัวใจสำคัญในการค้นหาหุ้น Growth Stock คือ การมองทิศทางของเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมภาพใหญ่ให้ออกว่า... ใน 5 - 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจแบบใดจะเป็นธุรกิจในอนาคตและจะมีการเติบโตสูง

 

วิธีประเมินคร่าวๆ ว่าหุ้นตัวไหนเป็น Growth Stock หรือไม่นั้น ดูได้จาก...

 

  1. คุณภาพ (Quality) เป็นกิจการที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อสินค้า เป็นสินค้าที่ไม่ตกเทรนด์ได้ง่าย มีความได้เปรียบด้านต้นทุน มีสิทธิบัตรหรือสัมปทาน รวมถึงมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและธรรมาภิบาลสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

  1. การเติบโต (Growth) ควรเป็นกิจการที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร ซึ่งพิจารณาได้จาก อัตราการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) อัตราการเติบโตของกำไร ซึ่งสามารถดูได้จากหลายอัตราส่วนทางการเงิน เช่น EPS Growth, Net Profit Margin, ROA, ROE โดยนักลงทุนต้องเข้าใจข้อจำกัดของแต่ละอัตราส่วนก่อนนำไปปรับใช้ด้วย เช่น หุ้นที่มีกำไรเติบโตนั้นเกิดจากกำไรพิเศษที่ได้มาแค่ชั่วคราวในปีเดียวหรือไม่

 

  1. มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น (Fair Price) การลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพสูงและเติบโตเร็วอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี หากนักลงทุนซื้อในราคาที่แพงจนเกินไป ดังนั้น หากจะวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหุ้นเติบโตให้ได้อย่างเหมาะสม

 

นักลงทุนสามารถใช้วิธีหา “อัตราส่วน PEG” เพื่อประเมินมูลค่าเบื้องต้นได้ ด้วยการนำค่า P/E Ratio ของหุ้นหารกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยในระยะยาวในช่วง 3 – 5 ปีข้างหน้า หาก PEG มากกว่า 1 หมายความว่า ราคาหุ้นค่อนข้างแพง แต่หาก PEG น้อยกว่า 1 หมายความว่า ราคาหุ้นค่อนข้างถูก

 

เรื่องควรรู้ก่อนลงทุนหุ้น Growth Stock

 

หุ้นเติบโตส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยมักจะซื้อขายกันในที่ P/E Ratio สูงๆ เนื่องจากนักลงทุนมีความคาดหวังต่อบริษัทค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าลงทุนได้ยาก หากพลาดก็จะทำให้เราซื้อหุ้นแพงเกินไป ดังนั้น นักลงทุนอาจต้องอดทนรอให้ราคาหุ้นลดลงในระดับที่เหมาะสม ซึ่งอาจเกิดเหตุการณ์ที่ราคาหุ้นเติบโตเหล่านั้นลดความร้อนแรงลง เช่น วิกฤติชั่วคราวที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทหรือวิกฤติเศรษฐกิจ หากตรวจสอบแล้วว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นโอกาสให้สามารถเข้าลงทุนในหุ้นเติบโตได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป 

 

จับจังหวะซื้อหุ้น Growth Stock

 

ภาวะที่เหมาะสมกับการลงทุนหุ้นเติบโต คือ ช่วงที่ตลาดซื้อขายกันที่ค่า P/E Ratio ต่ำ หรือช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวชั่วคราว เนื่องจากความเสี่ยงในทิศทางขาลง (Downside Risk) ในภาพรวมจะค่อนข้างน้อย นักลงทุนมีโอกาสสูงที่จะพบหุ้นเติบโตในราคาถูกหรือไม่แพงจนเกินไป

 

หากเราเลือกหุ้นเติบโตได้ถูกตัว ก็อาจได้รับผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวได้ และอีกหนึ่งคำถามสำคัญที่เราต้องถามตัวเองเสมอ คือ เมื่อหาหุ้นเติบโตเจอแล้ว เราจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ก็คือ เราต้องศึกษาข้อมูลและติดตามข้อมูลข่าวสารของหุ้นเติบโตที่เราลงทุนอย่างต่อเนื่องว่ายังเติบโตดีอยู่หรือไม่

 

สำหรับใครที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นเติบโต” ด้วยตนเอง ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ www.setsmart.com ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้เราได้ทดลองใช้งาน SETSMART ฟรี 15 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก SET Member เท่านั้น และหากใครที่ต้องการใช้ต่อ ค่าใช้จ่ายก็ถูกมากๆ แค่ 250 บาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!

แท็กที่เกี่ยวข้อง: