Stop Loss กุญแจสำคัญ ทำกำไรระยะยาวในตลาดอนุพันธ์

โดย ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)
3 Min Read
24 ธันวาคม 2563
4.332k views
TSI_103_Stop Loss กุญแจสำคัญ ทำกำไรระยะยาวในตลาดอนุพันธ์
Highlights
  • หากนักลงทุนยังมีความเชื่อว่า “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” ทั้งๆ ที่เงินลงทุนหายไปเกินครึ่ง อาจต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพราะการลงทุนครั้งใหม่เพื่อให้เท่าทุน ต้องเสียทั้งเงิน เวลา และจิตใจ ดังนั้น เมื่อลงทุนและเกิดความผิดพลาด ต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการตัดขาดทุน

  • การลงทุนไม่มีทางที่จะชนะตลอดเวลา เมื่อลงทุนผิดทางและรีบ Stop Loss อาจมีโอกาสแก้ตัวในการลงทุนครั้งต่อไป แต่หากปล่อยให้ขาดทุนจนถลำลึกเกินไป อาจไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่ แถมยังต้องออกจากสนามการลงทุน

การเป็นนักลงทุนระยะยาว หากเลือกลงทุนได้ถูกต้องและทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (Dollar Cost Averaging : DCA) อาจไม่จำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ในการซื้อขายมากนัก แต่หากลงทุนระยะสั้น โดยเฉพาะลงทุนในอนุพันธ์ ทั้งฟิวเจอร์ส
และออปชันที่มีวันครบกำหนดอายุของสัญญาหรือสิทธิ อาจต้องมีการวางแผนเพื่อกำหนดจุดซื้อ (Long) และขาย (Short) หรือจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ชัดเจน

 

เพราะถ้าไม่กำหนดเป็นแผนในการลงทุนตั้งแต่แรก เมื่อราคาฟิวเจอร์สหรือออปชันเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่เป็นใจ เราอาจทำอะไรไม่ถูก จนประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก การกำหนดจุดเปิดและปิดสถานะก่อนเริ่มลงทุน จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการอยู่รอดในตลาดอนุพันธ์

 

ในมุมมองของผู้เขียน ไม่ค่อยห่วงการวางจุดเปิดสถานะ เพราะสภาพจิตใจของนักลงทุนยังไม่ถูกกดดันจากสภาพตลาดและผลลัพธ์ทั้งด้านบวกและลบของการเปิดสถานะ แต่จุดที่ต้องล้างสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถานะเพื่อทำกำไร หรือการปิดสถานะเพื่อตัดขาดทุน เป็นจุดที่ตัดสินใจยากกว่า เพราะถูกครอบงำด้วยอารมณ์ (ดีใจ/เสียใจ) หรือความรู้สึก(โลภ/โกรธ) ทำให้การส่งคำสั่งไม่สอดคล้องกับแผนการลงทุนที่วางไว้ จนก่อให้เกิดความเสียหายได้

 

ก่อนอื่นอยากให้ได้เห็นถึงผลลัพธ์จากการปล่อยให้ขาดทุน เปรียบเสมือนเวลาเล่นกีฬาปีนหน้าผาแล้วเหยียบพลาด ทำให้ร่วงลงมาตามแนวลวดสลิงที่รัดตัวอยู่ กว่าจะกลับไปปีนได้ใหม่ ต้องรอลวดสลิงนิ่งก่อน แล้วค่อยๆ เอาขาทีละข้างพยุงตัวเองขึ้นไปอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต้องออกแรงมากว่าตอนปีนในครั้งแรก

 

เช่นเดียวกับการลงทุน ผลขาดทุนในแต่ละครั้งจะทำให้ต้องเหนื่อยกับการลงทุนครั้งถัดไปมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าใส่เงินลงทุนไป 100 บาท แล้วปล่อยให้ขาดทุน 50 บาท (50%) ถ้าจะทำให้กลับไปที่ 100 บาทเท่าเดิม ก็ต้องใส่เงินลงทุนอีก 50 บาท แต่คำถาม คือ จะทำได้หรือไม่?

 

ท่ามกลางสภาพจิตใจที่ผิดหวัง หงุดหงิด การจะกลับไปได้จึงเป็นเรื่องที่สามารถประเมินได้ยาก ดังนั้น ถ้าไม่อยากเจ็บปวดจากการลงทุนจนต้องออกจากตลาดก่อนเวลาอันควร ก็ไม่ควรปล่อยให้ขาดทุนหนัก

 

การพูดว่า... อย่าปล่อยให้ขาดทุนหนักเป็นเรื่องง่าย แต่การปฏิบัติจริงเป็นเรื่องยากมาก การป้องกันเพื่อไม่ให้เข้าสู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรเรียนรู้และฝึกวางแผนการลงทุนไว้ตั้งแต่แรก

 

ถ้าเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) จะมีคำถาม 3 ข้อที่ต้องตอบให้ได้ก่อนตัดสินใจขายหุ้น คือ ซื้อหุ้นนี้ทำไม มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง และการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เหตุผลในการซื้อหุ้นนี้เปลี่ยนไปหรือไม่

 

เมื่อนำมาปรับใช้กับการลงทุนในอนุพันธ์ ควรถามตัวเองก่อนว่า...

 

  • เปิดสถานะซื้อ (Long) หรือขาย (Short) ทำไม?
  • มีอะไรเปลี่ยนไปจากที่วางแผนไว้หรือไม่?
  • สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้เหตุผลในการตัดสินใจเปิดสถานะเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่?

 

ถ้าคำตอบ คือ “ใช่” แสดงว่า... สถานการณ์เปลี่ยนจากที่คิดโดยสิ้นเชิง ก็ควรปิดสถานะเพื่อลดความเสี่ยง แล้วกลับมาวางแผนก่อนเปิดสถานะใหม่ด้วยคำถาม 3 ข้ออีกครั้ง

 

แผนในการลงทุนอนุพันธ์

 

  1. ถามตัวเองว่าจะเปิดสถานะใด โดยเปิดสถานะซื้อ (Long) เมื่อคิดว่า “ขึ้น” และให้เปิดสถานะขาย (Short) เมื่อคิดว่า “ลง” หากยังคาดการณ์ทิศทางไม่เก่ง ให้ลองตามบทวิเคราะห์แล้ววิเคราะห์เองควบคู่ไปด้วย
  2. กำหนดจุดเปิดและปิดสถานะให้ชัดเจน เช่น เปิด Long SET50 Index Futures ที่ 1,000 จุด ทำกำไรที่ 1,010 จุด และตัดขาดทุนเมื่อต่ำกว่า 995 จุด
  3. กำหนดจุดทำกำไรเป็น 2 เท่าของจุดตัดขาดทุนเสมอ ทุกครั้งที่เปิดสถานะ แปลว่ามีความมั่นใจว่าจะได้กำไร การกำหนดจุดทำกำไรไกลกว่าจุดตัดขาดทุน จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง
  4. พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เหตุผลการเปิดสถานะเปลี่ยนแปลงโดยไม่หลอกตัวเอง หากสถานการณ์เปลี่ยนไป อาจต้องปิดสถานะก่อนถึงจุดตัดขาดทุน
  5. หากถึงขั้นต้อง “ตัดขาดทุน” ไม่มีคำว่า “ทยอยปิดสถานะ” ต้องปิดสถานะทั้งหมดเท่านั้น
  6. ขาดทุนครั้งละน้อยๆ และบ่อยครั้ง ยังดีกว่าขาดทุนหนักจนหมดหน้าตักในคราวเดียว
  7. อย่าเปิดสถานะจนทำให้ต้องกังวลกับฐานะความเป็นอยู่ หรือการใช้ชีวิตประจำวันปกติ
  8. อย่าคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะอาจทำให้ต้องเร่งเปิดสถานะ เพื่อเอาเงินคืนจากการขาดทุนอย่างหนักในรอบก่อนหน้า

 

ในโลกของการลงทุนปัจจุบัน นักลงทุนไม่สามารถนำทฤษฎีที่เคยใช้ได้ผลดีในอดีตกลับมาใช้ทำกำไรเกินปกติได้ตลอดเวลา ขณะที่การคาดการณ์ทิศทางเพื่อเปิดหรือปิดสถานะเริ่มยากขึ้น จากการเคลื่อนไหวของราคาฟิวเจอร์ส
หรือออปชันที่เข้าสู่จุดสมดุลอย่างรวดเร็ว เช่น วิเคราะห์มาอย่างดีว่าวันนี้ SET50 Index Futures ต้องปรับตัวขึ้น ปรากฎว่าขึ้นจริง แต่เป็นลักษณะเปิดกระโดดขึ้นไปเลย 10 จุด ก็ต้องกลับมาทบทวนแผนใหม่ว่าจะเปิดสถานะซื้อ (Long) ต่อ หรือเปลี่ยนมาเป็นฝั่งขาย (Short) ดี

 

การวางแผนกำหนดจุดเปิดและปิดสถานะ รวมถึงการตัดขาดทุน (Stop Loss) จึงกลายเป็นศาสตร์และศิลป์ที่นักลงทุนต้องเรียนรู้และฝึกฝนผ่านกระบวนการซื้อขาย ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียในการลงทุน ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการอยู่รอดในระยะยาว

 

หากนักลงทุนสามารถเชื่อมโยงมาที่การวางแผนทางการเงินของตัวเองได้ จะยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ควรปล่อยให้การลงทุนในทุกรูปแบบเกิดภาวะขาดทุนอย่างหนัก คำตอบที่ง่ายที่สุด คือ การลงทุนช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินง่ายขึ้นด้วยผลตอบแทนทบต้นต่อเนื่อง แต่การขาดทุนจะทำให้บรรลุเป้าหมายช้าลง หรือถ้าเข้าสู่ภาวะขาดทุนเรื้อรังอาจทำให้ฝันสลายจากเป้าหมายทางการเงินที่ถูกทำลายที่ละเป้าทีละเป้า เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ขาดทุนมากและนานเป็นดีที่สุด

 

สำหรับมือใหม่หัดเทรดฟิวเจอร์สหรือออปชัน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรให้ได้กำไรทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning กลุ่มหลักสูตร “การลงทุนในอนุพันธ์” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

แท็กที่เกี่ยวข้อง: