รู้จักประเภทตราสารหนี้

ก่อนจะลงทุนในตราสารหนี้ นักลงทุนควรศึกษารายละเอียดของตราสารหนี้แต่ละประเภทให้ดีก่อน เพื่อจะได้เลือกประเภทที่เหมาะสมกับแผนการลงทุนมากที่สุด ซึ่งตราสารหนี้ที่ขายในประเทศไทย หากแบ่งตามประเภทผู้ออกจะมี 2 กลุ่มหลักๆ คือ

“ตราสารหนี้ภาครัฐ” (Government Bond)
หรือเรียกรวมๆ ว่า “พันธบัตร”

ซึ่งหน่วยงานที่สามารถออกพันธบัตรได้ ได้แก่ กระทรวงหรือหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป

img-bong-1-01
  • “พันธบัตรรัฐบาล” กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชน นำมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ หรือปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ เป็นต้น
  • “พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ” หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ออก และมีการค้ำประกันโดยกระทรวงการคลังเพื่อนำมาลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
  • “พันธบัตรออมทรัพย์” ออกโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นทางเลือกในการออมและการลงทุน เช่น ในปี 2563 นี้ กระทรวงการคลังได้มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “ก้าวไปด้วยกัน” และ “เราไม่ทิ้งกัน” เป็นต้น
  • พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ธปท. ออกมาเพื่อนำเงินไปใช้ดูแลสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • “ตั๋วเงินคลัง” กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก แต่จะเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี

“ตราสารหนี้เอกชน” (Corporate Bond)

หรือ “หุ้นกู้”

img-bong-1-02

ออกโดยบริษัทเอกชนต่างๆ เพื่อระดมทุนในการขยายกิจการ ซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้นทุนทางการเงินของผู้ออกตราสารหนี้ มักจะถูกกว่าการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และส่วนใหญ่จะมีการกำหนดระยะเวลาการออก เช่น 3 ปี 5 ปี 7 ปี 10 ปี 20 ปี เป็นต้น หรือหากไม่มีกำหนดระยะเวลาที่เรียกว่า “หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์” (Perpetual Bond) ซึ่งนักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดตราสารหนี้ที่ออกขายในปัจจุบันได้ที่ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)

ผลตอบแทนและความเสี่ยงของหุ้นกู้ของแต่ละบริษัทจะแตกต่างกันออกไป โดยสามารถพิจารณาจากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) กรณีบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แต่อัตราผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าบริษัทที่มีบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับต่ำกว่า ซึ่งมักจะจูงใจนักลงทุนด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ความเสี่ยงก็สูงตามขึ้นมาเช่นกัน เช่น ถ้าหุ้นกู้ได้อันดับ AAA แสดงว่ามีความเสี่ยงต่ำ แต่ถ้าเจอหุ้นกู้อันดับ B นักลงทุนอาจต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นว่ามีโอกาสผิดนัดชำระหนี้

แม้ตราสารหนี้จะเป็นอีกทางเลือกลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่อย่าลืมว่า... การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เราจึงควรพิจารณาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เกี่ยวกับตราสารหนี้ให้ดีก่อนเริ่มลงทุนด้วย