ลงทุนหุ้นจีนและกลุ่ม Defensive รับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

โดย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
3 Min Read
3 สิงหาคม 2565
1.29k views
Inv_ลงทุนหุ้นจีนและกลุ่ม Defensive รับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว_Thembnail
Highlights
  • แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงก็ไม่น่าจะลดลงได้ง่าย โดยคาดว่าจะลากยาว แต่ยังไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ เพียงแต่เติบโตต่ำ

  • ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB อาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เนื่องจากเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่จุดสูงสุด ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของประเทศสมาชิกที่มีการคลังอ่อนแอ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยุโรป อาจนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและเงินเฟ้อที่รุนแรงกว่าที่คาด

  • ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและตลาดมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มที่มีความผันผวนต่ำกว่าตลาด และมีมูลค่าหรือราคาที่น่าสนใจ เช่น กองทุนรวมหุ้นจีน หรือหุ้นกลุ่ม Defensive เป็นต้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปเสี่ยงชะลอตัวและลากยาว

เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็ว รุนแรง และต่อเนื่อง เพื่อหวังดึงอัตราเงินเฟ้อให้ลงมา ได้ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินเพื่อการบริโภคและการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จะอยู่ที่ระดับ 9.1% ซึ่งจะเริ่มปรับลดลงได้ในเดือนถัดไป

 

แต่การลดลงของอัตราเงินเฟ้อในเดือนถัดไปก็ไม่อาจทำให้นักลงทุนวางใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะผ่านพ้นปัญหาค่าครองชีพสูงไปได้ นั่นเพราะต่อให้เงินเฟ้อปรับลดลง แต่ก็ยังจะอยู่ในระดับสูง ลากยาว และลดลงได้ช้า เนื่องจากแรงงานที่มีรายได้ มีรายได้เติบโตน้อยกว่าเงินเฟ้อ จึงยังคงต้องการค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะขึ้นราคาสินค้าในอนาคตเพื่อส่งผ่านภาระต้นทุนที่สูงขึ้นให้ผู้บริโภค

 

แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยในรอบต่อไปเพียง 0.50% จาก 0.75% และขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 0.25% ในแต่ละรอบการประชุมช่วงไตรมาส 4 แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีนี้น่าจะกระทบการใช้จ่ายและการลงทุน มีผลทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอลงแรงในปีหน้า แต่ผมยังไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย เพียงแต่จะขยายตัวได้ต่ำ และเฟดยังสามารถกลับไปลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 ได้เมื่ออัตราเงินเฟ้อชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ

 

ในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังมีความผันผวน ที่ปรึกษาการลงทุนยังแนะนำให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรืออาจรอให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนผ่านช่วงไตรมาส 3 ไปก่อน แล้วค่อยกลับมาพิจารณากันอีกครั้ง

 

ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็น่าเป็นห่วงว่าจะมีความผันผวนที่ลากยาว จากปัญหาความขัดแย้งกับรัสเซียที่อาจนำไปสู่ปัญหาขาดแคลนพลังงานและปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงกว่าที่คาด แม้ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 0.50% มากกว่าที่ตลาดคาดเพื่อหวังลดอัตราเงินเฟ้อในอนาคตให้ลดลงอย่างรวดเร็ว หลังอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงสู่ระดับ 8.6% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และค่าเงินยูโรอ่อนค่าแรงในช่วงก่อนหน้า แต่อัตราเงินเฟ้อยังไม่ใกล้จุดสูงสุดเหมือนฝั่งสหรัฐฯ และน่าจะทำให้ ECB ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง และอาจกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นต้นทุนทางการเงินที่รัฐบาลต่าง ๆ ระดมทุนจากประชาชน ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลอาจสูงขึ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะสูงหรือมีวินัยทางการคลังที่ไม่ดี และอาจมีผลให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติหนี้ยูโรโซนคล้ายในปี 2011 อีกครั้ง แม้รอบนี้ทาง ECB ได้วางมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับรัฐบาลในกลุ่มยูโรแล้วก็ตาม

 

หลบความผันผวนมาลงทุนในหุ้นจีนและกลุ่ม Defensive

ในภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนเช่นนี้ นักลงทุนอาจหันมาลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มที่มีความผันผวนต่ำกว่าตลาด อีกทั้งมีมูลค่าหรือราคาหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกน่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นหลังมีการควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19 พร้อมการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และการใช้จ่ายของคนในประเทศได้ดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์ เปิดให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้อีกครั้ง น่าจะสนับสนุนการบริโภค การเดินทาง ภาคการผลิต การบริการ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ

 

แต่ผมไม่แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะแม้ที่ปรึกษาการลงทุนจากหลากหลายที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีน แต่จีนเองก็มีความเสี่ยงจากการกลับมาล็อกดาวน์ได้อีกหากยังไม่ได้มีแผนการกระจายวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ที่สามารถยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่าวัคซีนเชื้อตายที่ใช้แพร่หลายในจีน อีกทั้ง จีนยังมีปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อาจลุกลามไปสู่สถาบันการเงิน โดยเฉพาะหากมีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ แม้โดยรวมผมยังชื่นชอบการลงทุนในหุ้นจีน แต่ก็อยากเสนอมุมมองการกระจายการลงทุนเพื่อรับมือความผันผวนในเดือนสิงหาคม ดังนี้

 

  1. กองทุนรวมหุ้นจีนยังน่าสนใจ – แม้จีนยังมีความเสี่ยงต่าง ๆ ในประเทศ รวมทั้งอาจเผชิญกับการส่งออกที่ชะลอตัวลงหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อในจีนที่อยู่ในระดับต่ำ น่าจะสามารถสนับสนุนธนาคารกลางจีนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือเสริมสภาพคล่องด้วยมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจได้ อีกทั้งรัฐบาลยังมีขีดความสามารถในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อให้เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อได้ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ นักลงทุนอาจคาดหวังว่าสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพื่อหวังลดอัตราเงินเฟ้อจากสินค้านำเข้า ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นภาคการผลิตในจีนอีกทางหนึ่งด้วย

 

  1. กลุ่มเทคจีนหลังรัฐบาลผ่อนคลายการปราบปราม – กลุ่มเทคโนโลยีของจีนมีความน่าสนใจที่หลากหลาย โดยเฉพาะหลังรัฐบาลจีนเริ่มลดความเข้มงวดในการกำกับกฎระเบียบต่าง ๆ และอาจเริ่มผ่อนคลายความเข้มงวดที่มีก่อนหน้าเพื่อหวังให้กลุ่มเทคโนโลยีจากจีนพัฒนาเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และกลุ่มเทคจีนที่น่าสนใจ นอกจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่แล้ว กลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดเล็กก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบางบริษัทอาจสามารถเติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้โดยใช้เวลาไม่นาน ซึ่งนักลงทุนอาจหาโอกาสการลงทุนกลุ่มเทคจีนขนาดเล็กไว้บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกระแสเงินสดที่ดี

 

  1. กองทุนรวมในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม และอินเดีย – ในช่วงที่ตลาดฝั่งตะวักตกมีความผันผวนและนักลงทุนยังกังวลในตลาดหุ้นจีน นักลงทุนยังสามารถกระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่น่าจะมีความผันผวนน้อยกว่าฝั่งประเทศที่มีความเสี่ยงเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอย โดยตลาดหุ้นในเอเชียแปซิฟิกที่น่าสนใจนอกจากตลาดเวียดนามและอินเดียที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและมีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อภายในประเทศแล้ว ยังมีตลาดอื่นที่มีมูลค่าที่น่าสนใจ เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งนักลงทุนอาจเลี่ยงความเสี่ยงในตลาดเกิดใหม่ขนาดเล็กที่มีหนี้ต่างประเทศสูง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศน้อย ซึ่งอาจเผชิญความเสี่ยงที่เงินทุนจะไหลออก ค่าเงินอ่อนค่า หรือมีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ได้ ซึ่งโดยรวมแล้วตลาดเกิดใหม่ที่มีปัญหานั้น ไม่น่าจะลุกลามไปสู่ตลาดอื่นในภูมิภาคที่มีพื้นฐานดี

 

  1. กลุ่ม Defensive เช่น Healthcare และ Infrastructure – หากนักลงทุนต้องการเพิ่มการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน ก็อาจมองการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายประเทศ และลงทุนในบริษัทที่มีความผันผวนต่ำ มีกระแสเงินสดสูง และมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในระหว่างการลงทุน ซึ่งในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ นักลงทุนสามารถเข้าไปสะสมหุ้นในกลุ่มบริษัทยาและเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ หรือกลุ่ม Healthcare โดยรวม รวมทั้งหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสามารถในการผูกขาดตลาด เพื่อกำหนดราคาสินค้าและบริการ รวมทั้งอยู่ในกลุ่มที่มีการเติบโตได้ในอนาคต และที่สำคัญนักลงทุนน่าจะมองหาบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG เพื่อความยั่งยืนในการลงทุนและมีต้นทุนในการระดมทุนที่ต่ำกว่าบริษัทคู่แข่ง

 

  1. ถือเงินสดเตรียมเข้าลงทุนหากตลาดย่อตัว – ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนเช่นนี้ นักลงทุนอาจแบ่งเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง หรือลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อเสริมสภาพคล่องไว้ลงทุนในช่วงที่ราคาสินทรัพย์ย่อตัวลงรับข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยุโรป และประเทศสำคัญอื่น ๆ รวมทั้งความเสี่ยงที่ประเทศเหล่านั้นจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวเพียงชั่วคราว ไม่เข้าสู่ภาวะวิกฤติ อีกทั้งธนาคารกลางและรัฐบาลต่าง ๆ มีความสามารถในการอัดฉีดสภาพคล่องและออกมาตรการทางการคลังเพื่อรับมือได้ ดังนั้น หากราคาสินทรัพย์ย่อตัวลงก็อาจเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวได้เช่นกัน

 

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่าย ๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หรือเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม ตลอดจนเทคนิคในการปรับกลยุทธ์เปลี่ยนกลุ่มลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนตามวงจรเศรษฐกิจ การเติบโตของกลุ่มธุรกิจ หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการและสามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร Sector Rotation ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: